Our Services

Latest Knowledge Updates

Work smarter! รวมเครื่องมือ Collaboration บน Microsoft 365 ที่ควรรู้จัก

15 December 2025

หลายองค์กรใช้ Microsoft 365 อยู่แล้ว แต่ในชีวิตจริงคนส่วนใหญ่ยังใช้แค่ Outlook, Word, Excel ทั้งที่ใน Microsoft 365 มี ชุดเครื่องมือ Collaboration ที่ออกแบบมาให้ทีม “ทำงานร่วมกันได้ฉลาดขึ้น เป็นระบบขึ้น” บทความนี้จะไม่ลงวิธีใช้ทีละคลิก แต่จะช่วยให้เห็นภาพว่า “ถ้าองค์กรมี Microsoft 365 อยู่แล้วเครื่องมือตัวไหนใช้ทำอะไร และควรเอาไปใช้ในสถานการณ์แบบไหนบ้าง?” โฟกัสหลักจะเป็นตัวเด่น ๆ อย่าง Planner, To Do, Teams, Whiteboard พร้อมแถมอีกไม่กี่ตัวที่ควรรู้จักไว้เป็น toolkit ประจำทีม มอง Microsoft 365 เป็น “ชุดเครื่องมือทำงานทีม” ไม่ใช่แค่ Word/Excel ถ้าเปลี่ยนมุมมองจาก “ชุดโปรแกรม Office” เป็น “แพลตฟอร์มการทำงานร่วมกัน” จะเห็นโครงประมาณนี้ Microsoft Teams → ศูนย์กลางการคุยงาน ประชุม แชร์ไฟล์ Planner & To Do → จัดการงาน และสิ่งที่ต้องทำของทีม/แต่ละคน Whiteboard → ระดมความคิด วาดไอเดียออนไลน์ OneDrive / SharePoint → เก็บไฟล์กลางอย่างเป็นระบบ และเครื่องมืออื่น ๆ ที่เสริมประสบการณ์ทำงานร่วมกัน เช่น OneNote, Loop เป็นต้น ลองไล่ดูทีละตัวว่ามันช่วยอะไรบ้าง Microsoft Teams – “ห้องทำงานรวม” ของทีม ถ้าต้องเลือกแค่หนึ่งตัวที่ทีมควรรู้จักจริง ๆ ก็คือ Microsoft Teams ใช้ Teams เพื่ออะไร? แชทคุยงาน แทนอีเมลยาว ๆ หรือกรุ๊ปไลน์ที่หาข้อความเก่าไม่เจอ ประชุมออนไลน์ พร้อมเปิดกล้อง แชร์หน้าจอ อัดประชุมได้ แชร์ไฟล์และทำงานร่วมกับเอกสาร ในแชนเนลของทีม เชื่อมกับแอปอื่นใน Microsoft 365 เช่น แปะ Planner เป็นแท็บบอร์ดงาน แปะ OneNote เป็นสมุดโน้ตทีม แปะลิงก์รายงาน Power BI หรือเว็บแอปต่าง ๆ เหมาะกับใคร? ทีมที่อยากมี “ที่เดียว” ไว้คุยงาน + ประชุม + แชร์ไฟล์ องค์กรที่อยากจัดระเบียบช่องทางการสื่อสาร ไม่ให้ทุกอย่างไหลไปอยู่ในไลน์หมด Microsoft Planner – “กระดานงานของทีม” พอเริ่มคุยงานใน Teams แล้ว คำถามต่อมาคือ ใครทำอะไร? เดดไลน์วันไหน? งานคืบหน้าแค่ไหนแล้ว? Microsoft Planner คือคำตอบในฝั่ง Project / Task Management สำหรับทีม Planner ทำอะไรให้ทีมได้บ้าง? ทำบอร์ดงานในรูปแบบคล้าย Trello / Kanban แยกงานเป็น “การ์ด” (Task) ใส่ คนรับผิดชอบ วันครบกำหนด รายละเอียด / Checklist แนบไฟล์ได้ แบ่งเป็นคอลัมน์ตามสถานะงาน เช่น To do, Doing, Review, Done ดูภาพรวมงานทั้งทีมผ่านมุมมอง Board หรือกราฟสรุป Planner เหมาะกับเคสแบบไหน? ทีมการตลาดที่มีแคมเปญ/โปรเจกต์ต่อเนื่อง ทีมพัฒนา/IT ที่มีงาน feature / bug / task ต่อคิวกัน ทีมเล็ก – กลางที่ยังไม่อยากใช้โปรเจกต์ทูลใหญ่ ๆ แต่ต้องการบอร์ดงานที่อยู่ใน Microsoft 365 อยู่แล้ว Microsoft To Do – “สมุดลิสต์งานของแต่ละคน” ถ้า Planner คือ “ภาพรวมงานของทีม”Microsoft To Do ก็คือ “ภาพรวมงานของฉัน” จุดเด่นของ To Do ลิสต์สิ่งที่ต้องทำของแต่ละคน แยกออกจากกันเป็นรายการ มีมุมมอง “My Day” เป็นหน้ารวมงานที่อยากโฟกัสวันนี้ ซิงก์กับอุปกรณ์ทุกเครื่อง (เว็บ, มือถือ, แอปบน Windows) เชื่อมกับระบบอื่น ๆ เช่น งานที่ถูก assign ให้คุณจาก Planner จะโผล่มาใน To Do อัตโนมัติ อีเมลที่กด Flag จาก Outlook ก็ดึงมาเป็น Task ใน To Do ได้ ใช้ To Do เพื่ออะไร? เลิกจดงานบนโพสต์อิท/สมุดเล่มเดียวแล้วลืม กันลืมงานที่หัวหน้ามอบหมายผ่านอีเมลหรือ Planner วางแผน “วันนี้ต้องทำอะไรบ้าง” แบบส่วนตัวแต่เชื่อมกับระบบทีม Microsoft Whiteboard – “กระดานระดมไอเดียออนไลน์” โลกการทำงานแบบ Hybrid อยู่กันคนละที่ แต่การระดมความคิดก็ยังสำคัญเหมือนเดิม Microsoft Whiteboard คือกระดานไวท์บอร์ดบนหน้าจอ ที่ทุกคนเขียนพร้อมกันได้แบบเรียลไทม์ Whiteboard เหมาะกับการใช้แบบไหน? ระดมไอเดียแคมเปญ/ฟีเจอร์ใหม่ วาด flow งาน หรือ customer journey ให้ทุกคนเห็นภาพ ทำ workshop แบบออนไลน์ โดยให้คนในทีมช่วยกันลาก post – it, เขียนคอมเมนต์ ใช้ประกอบการประชุม Teams เพื่อไม่ให้การคุยเป็นแค่เสียงและสไลด์ มันไม่ใช่เครื่องมือ “รายงาน” แต่เป็นเครื่องมือ “คิดและคุยร่วมกัน” ที่ดีมากตัวหนึ่ง OneDrive & SharePoint – “บ้านเก็บไฟล์” ของบุคคลและทีม ถึงบทความนี้จะเน้นเครื่องมือ Collaboration อย่าง Planner / To Do / Teams / Whiteboardแต่ถ้าไม่พูดเรื่อง ที่เก็บไฟล์ เลย ก็คงขาดสำคัญไปหนึ่งชิ้น OneDrive – พื้นที่ส่วนตัว เป็นพื้นที่เก็บไฟล์ของ “แต่ละคน” เหมาะกับไฟล์ส่วนตัว หรือไฟล์ที่ยังไม่พร้อมแชร์ทั้งทีม แชร์ไฟล์หรือโฟลเดอร์ให้เพื่อนร่วมงานดูได้ตามสิทธิ์ที่กำหนด SharePoint / Libraries – พื้นที่ของทีม ใช้เป็น “คลังไฟล์กลางของทีม/แผนก” เชื่อมหลังบ้านกับ Teams → เวลาเราอัปโหลดไฟล์ใน Channel ของทีม ไฟล์จะถูกเก็บใน SharePoint ของทีมนั้นโดยอัตโนมัติ ช่วยให้โครงสร้างการเก็บไฟล์ขององค์กรชัดเจนว่าอะไรเป็นของส่วนตัว (OneDrive) และอะไรเป็นของทีม/องค์กร (SharePoint) การที่ Microsoft 365 ให้ทั้ง OneDrive+SharePoint ทำให้โครงสร้างการเก็บไฟล์ขององค์กรชัดเจนขึ้น (ไม่ใช่ทุกอย่างแชร์ใน Google Drive ส่วนตัวของใครไม่รู้) OneNote / Loop – จดโน้ต & ทำงานร่วมกันระดับเอกสาร นอกเหนือจาก 4 ตัวหลัก ยังมี 2 ตัวที่น่าแนะนำให้ทีมรู้จักไว้: OneNote – สมุดโน้ตดิจิทัล ใช้จดบันทึกประชุม, สรุปไอเดีย, เก็บความรู้ ทำเป็นสมุดโน้ตร่วมของทีม/โปรเจกต์ได้ แทรกภาพ, ลิงก์, ไฟล์, วาดเขียนได้ Microsoft Loop (ถ้าองค์กรเปิดใช้แล้ว) สร้าง “คอนเทนต์ชิ้นเล็ก ๆ” เช่น ตาราง, ลิสต์งาน, พารากราฟ แล้วเอาไปแปะใช้ในหลายที่พร้อมกัน (Teams, Outlook ฯลฯ) ทุกที่จะเห็นข้อมูล Live ตัวเดียวกัน สองตัวนี้จะสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับทีมที่อยากเก็บ “ความรู้” และ “โน้ต” อย่างเป็นระบบ ภาพรวมการใช้งานร่วมกัน: ตั้งต้นทีมแบบง่าย ๆ ลองสรุปให้เห็นภาพว่าถ้าองค์กรมี Microsoft 365 อยู่แล้ว อยากเริ่มใช้เครื่องมือ Collaboration ให้คุ้ม ควรจัดชุดแบบไหน: Teams → ใช้เป็น “ศูนย์กลางการคุยงาน/ประชุม/ไฟล์” แทนการแยกไลน์ + อีเมลกระจัดกระจาย Planner → เปิดบอร์ดงานในแต่ละโปรเจกต์/ทีมให้เห็นภาพรวม “งานของทีม” To Do → ให้สมาชิกแต่ละคนใช้จัด “งานของตัวเอง” ที่ดึงมาจาก Planner + Outlook Whiteboard → ใช้เวลาเริ่มโปรเจกต์/วางแผน/ระดมไอเดีย เพื่อให้มีพื้นที่คิดร่วมกัน OneDrive/SharePoint → เป็นบ้านเก็บไฟล์ที่ชัดเจน ว่าอะไรคือของส่วนตัว อะไรคือของทีม เริ่มจากเอาเครื่องมือเหล่านี้ไปใช้กับ “โปรเจกต์เดียว หรือทีมเดียว” ก่อนพอคนเริ่มคุ้น เห็นประโยชน์จริง ค่อยขยับขยายไปทั้งองค์กร การ “Work smarter” บน Microsoft 365 ไม่ได้แปลว่าต้องใช้ฟีเจอร์ลึก หรือเขียนโค้ดอัตโนมัติแต่คือการทำให้ทีมตอบคำถามเดียวกันได้ชัดเจนว่า: ใช้อะไรคุยงาน → Microsoft Teams ใช้ที่ไหนเก็บไฟล์กลาง → SharePoint / Teams ใช้ตัวไหนจัดการงานทีม → Planner แต่ละคนใช้ตัวไหนกันลืมงาน → To Do ใช้ที่ไหนระดมไอเดีย/วาด flow ร่วมกัน → Whiteboard เริ่มจากแค่ทำให้ทีมตอบคำถามพวกนี้ได้เหมือนกัน ก็ถือว่า “ยกระดับวิธีทำงานในองค์กร” ไปอีกขั้นแล้ว บริการ Microsoft 365 จาก hostatom เพื่อใช้เครื่องมือ Collaboration เหล่านี้ได้เต็มศักยภาพ องค์กรต้องวาง “พื้นฐาน Microsoft 365” ให้ดีตั้งแต่แรก ทั้งเรื่องแพ็กเกจ บัญชีผู้ใช้ โครงสร้างทีม และสิทธิ์เข้าถึงไฟล์ hostatom ให้บริการ Microsoft 365 สำหรับธุรกิจ พร้อมทีมงานคนไทยคอยดูแล ช่วยคุณ: แนะนำแพ็กเกจ Microsoft 365 ที่เหมาะกับขนาดและรูปแบบการทำงานขององค์กร วางโครงสร้าง Teams, สิทธิ์ของแต่ละแผนก และแนวทางใช้ Planner / To Do / Whiteboard ให้เข้ากับวัฒนธรรมการทำงานจริง ย้ายอีเมลและไฟล์จากระบบเดิมเข้ามาอยู่บน Microsoft 365 อย่างปลอดภัย ให้คำปรึกษาแนวทาง “Work smarter” ด้วยชุดเครื่องมือ Collaboration ใน Microsoft 365 หากองค์กรของคุณใช้ Microsoft 365 อยู่แล้วแต่รู้สึกว่า “ยังใช้ไม่คุ้ม” หรือกำลังวางแผนจะย้ายมาใช้ 👉 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่Microsoft 365 โดย hostatom – https://www.hostatom.com/microsoft-365/ และสามารถติดต่อทีม hostatom เพื่อช่วยออกแบบวิธีใช้ Microsoft Teams, Planner, To Do และ Whiteboard ให้เหมาะกับทีมของคุณได้เลย

Read More »

การใช้งาน Google Looker Studio อย่างง่ายจาก Google Sheet

12 December 2025

ถ้าคุณมีข้อมูลอยู่ใน Google Sheet อยู่แล้ว เช่น ยอดขายรายวัน, รายชื่อลูกค้า, ข้อมูลแคมเปญ หรือสต๊อกสินค้า แต่ทุกครั้งที่ต้องทำรายงานก็ต้องมานั่งจัดตาราง, ทำกราฟใน Excel/Sheets ใหม่ทุกเดือน… จริง ๆ คุณสามารถใช้ Google Looker Studio ดึงข้อมูลจาก Google Sheet มาทำเป็น รายงาน/แดชบอร์ดสวย ๆ ดูง่าย อัปเดตอัตโนมัติ ได้เลย ไม่ต้องก็อป – วางซ้ำ ๆ แค่คนในทีมอัปเดต Sheet ตัวเดิม รายงานใน Looker Studio ก็อัปเดตตาม คู่มือนี้จะพาแบบ “จับมือทำ” ตั้งแต่ 0:เตรียม Google Sheet ให้พร้อม → เชื่อมต่อกับ Looker Studio → วางกราฟ/ตาราง → ทำตัวกรอง → แชร์ให้คนอื่นดูได้ อ่านจบแล้วทำเป็นแน่นอน แม้ไม่เคยใช้มาก่อนเลย ภาพรวมก่อนเริ่ม: Sheet เป็นที่เก็บข้อมูล, Looker เป็นหน้ารายงาน ขอให้มองแบบง่าย ๆ ว่า: Google Sheet = ที่เก็บ “ข้อมูลดิบ” เช่น ตารางยอดขาย ตารางลูกค้า Google Looker Studio = “หน้ารายงาน/แดชบอร์ด” ที่ดึงข้อมูลจากชีตมาทำกราฟ – ตัวเลข – ตารางให้ดูสบายตา ลำดับการทำงานคือ เตรียมตารางใน Google Sheet ให้เรียบร้อย → สร้าง Report ใน Looker Studio → เชื่อม Data Source เป็น Google Sheet → วางกราฟ/ตาราง → แชร์ให้ทีมดู ส่วนที่ 1 – เตรียม Google Sheet ให้พร้อมก่อนเชื่อม โครงสร้างตารางที่ดีควรเป็นแบบนี้ แถวที่ 1 เป็นหัวคอลัมน์ ไม่มีหัวตารางซ้ำตรงกลาง อย่าใส่หัวคอลัมน์ย้ำที่แถว 20, 40 อีกรอบ ทั้งตารางควรมี header แค่บรรทัดแรก ไม่ใช้ Merge เซลล์ในส่วนข้อมูล หลีกเลี่ยงการ Merge เซลล์ในแถวข้อมูล เพราะ Looker Studio จะอ่านลำบาก ประเภทข้อมูลถูกต้อง คอลัมน์วันที่ → ตั้งเป็น Date จริง ๆ (ไม่ใช่ Text) ตัวเลข → เป็น Number (ไม่ใช่มีตัวอักษรปน เช่น “1,500 บาท”) ถ้ามีคำว่า “บาท” อยากให้เก็บแค่ตัวเลขใน Sheet แล้วไปใส่รูปแบบ (format) ในรายงานอีกที ส่วนที่ 2 – สร้างรายงานใหม่ใน Looker Studio และเชื่อมกับ Google Sheet เข้า Looker Studio โดย เปิดเบราว์เซอร์ (แนะนำ Chrome) พิมพ์ URL: https://lookerstudio.google.com/ ที่หน้า Home ให้เลือก “Blank report” ทันทีที่สร้าง Blank report ใหม่ Looker Studio จะถามว่า:“Add data to report” (เพิ่มข้อมูลอะไรเข้ารายงาน) เลือก “Google Sheets” จากรายการ เลือกไฟล์ที่เก็บข้อมูล ในบทความนี้ขอเลือกไฟล์ตัวอย่างที่สร้างไว้ชื่อ “Example-sales-data“ เลือก Sheet/Tab ที่เป็นตารางหลักที่เตรียมไว้ ในบทความนี้ขอเลือก sheet ตัวอย่างที่สร้างไว้ชื่อ “Sheet1“ ติ๊กตัวเลือก: Use first row as headers (ใช้แถวแรกเป็นหัวคอลัมน์) เลือกว่าจะให้รวมข้อมูล ตั้งค่าอื่น ๆ ตามค่า default ไปก่อนได้ กด “Add“ จากนั้นกด “Add to report“ ตอนนี้รายงานของคุณ “ผูก” กับ Google Sheet แล้ว จากนี้ไป ถ้ามีคนอัปเดตข้อมูลใน Sheet (เช่น เพิ่มแถวยอดขายใหม่) รายงานใน Looker Studio สามารถกด Refresh เพื่อดึงข้อมูลล่าสุดได้ ส่วนที่ 3 – สร้างองค์ประกอบพื้นฐาน: ตัวเลขสรุป + ตาราง + กราฟ สร้างตัวเลขสรุปยอดขายรวม (Scorecard) ในหน้ารายงาน Looker Studio ให้ดูที่แถบเมนูด้านบน คลิกที่ “Insert → เลือก Scorecard“ คลิกแล้วลากไปวางบนพื้นที่รายงานด้านบน ด้านขวามือ (แท็บ Data) จะเห็น Data source = Google Sheet ที่เราเลือก Metric = ค่าเริ่มต้นอาจเป็น Record Count ให้คลิกเปลี่ยนเป็น “ยอดขาย“ สร้างกราฟแท่ง “ยอดขายตามวัน” ในหน้ารายงาน Looker Studio ให้ดูที่แถบเมนูด้านบน คลิกที่ “Insert → เลือก Vertival bar chart“ ลากกราฟไปวางใต้ Scorecard ด้านขวา ในแท็บ Data: Dimension = เลือก “วันที่“ Metric = เลือก “<strong>ยอดขาย</strong>“ สร้างตาราง “ยอดขายตามสินค้า” ในหน้ารายงาน Looker Studio ให้ดูที่แถบเมนูด้านบน คลิกที่ “Insert → เลือก Table“ ลากไปวางด้านล่างหรือข้าง ๆ กราฟ ด้านขวา ตั้งค่า: Dimension (สีฟ้า) → เลือกว่าจะดูตามอะไร เช่น สินค้า Metric (สีเขียว) → เลือก ยอดขาย จะเพิ่ม Metric อื่น ๆ เช่น Record Count (จำนวนรายการขาย) ก็ได้ ส่วนที่ 4 – จัดหน้า (Layout) และตกแต่งให้ดูเป็น “แดชบอร์ดจริง ๆ” จัด Layout ให้เป็นโซน แนะนำโครงง่าย ๆ: แถวบนสุด → แสดง KPI สำคัญ (Scorecard เช่น ยอดขายรวม, จำนวนรายการขาย, จำนวนลูกค้า ฯลฯ) ส่วนกลาง → กราฟแนวโน้ม (ยอดขายตามวัน/เดือน) ส่วนล่าง → ตารางดูรายละเอียด (ยอดขายตามสินค้า, ภูมิภาค, ช่องทาง) มุมบนขวา → Date range และ Filter ต่าง ๆ พยายามเว้นช่องว่างให้พอดี ไม่อัดทุกอย่างจนแน่น ตั้ง Theme & สีให้เหมาะ คลิกขวา เลือก “Theme and layout“ เลือก Theme ที่ใกล้เคียงกับสีแบรนด์บริษัท/ลูกค้า สามารถปรับสีพื้นหลัง, สีกราฟ, สีหัวตาราง ฯลฯ ได้ และ เลือก Font ได้ ที่ “Layout “ จุดดีของการใช้ Looker Studio กับ Google Sheet คือ คุณ/ทีม แค่เข้าไปเพิ่มข้อมูลลงชีตรายงานจะใช้ข้อมูลชุดเดียวกันโดยไม่ต้องสร้างใหม่ สิ่งที่ต้องรู้: อัปเดตใน Sheet เพิ่มแถวข้อมูลใหม่ด้านล่าง หัวคอลัมน์ยังเหมือนเดิม Refresh ใน Looker Studio ในมุมมอง Edit จะมีเมนูเล็ก ๆ ให้กด Refresh data หรือในโหมดดู (View) ข้อมูลมักจะอัปเดตอัตโนมัติในช่วงเวลาหนึ่ง ถ้าเพิ่มคอลัมน์ใหม่ใน Sheet (เช่น เพิ่ม Cost, จำนวนชิ้นขาย) กลับมาที่ Looker Studio → ใน Data Source ต้องกด Reconnect/Fields เพื่อให้เห็นคอลัมน์ใหม่ แล้วค่อยนำไปใช้ในกราฟ/ตาราง การใช้งาน Google Looker Studio อย่างง่ายจาก Google Sheet จริง ๆ ไม่ได้ยากเลย ถ้าแบ่งคิดเป็นขั้น ๆ: เตรียม Google Sheet ให้เป็นตารางเรียบร้อย แถวแรกเป็นหัวคอลัมน์ ประเภทข้อมูลถูกต้อง สร้างรายงานใหม่ใน Looker Studio แล้วเชื่อม Data Source เป็น Google Sheet ที่เตรียมไว้ วางองค์ประกอบพื้นฐาน Scorecard แสดงยอดรวม กราฟเส้นแสดงแนวโน้มยอดขาย ตารางแสดงยอดขายตามสินค้า/ภูมิภาค ตัวกรองวันที่ + ตัวกรองเลือกสินค้า/ภูมิภาค ตกแต่ง Layout + Theme และแชร์ให้ทีม/ลูกค้าดูด้วยสิทธิ์ที่เหมาะสม ต่อไปเวลาอยากอัปเดตข้อมูล แค่แก้ใน Sheet รายงานก็ใช้ข้อมูลเซ็ตเดิมโดยไม่ต้องทำใหม่ทุกครั้ง เริ่มจาก Dashboard ง่าย ๆ หน้าเดียวก่อน เมื่อคุ้นมือแล้ว ค่อยต่อยอดเป็นหลายหน้า (Sales, Marketing, Finance) คุณจะพบว่า การใช้ Looker Studio + Google Sheet ช่วยลดเวลาทำรายงานลงได้มาก และทำให้การคุยเรื่อง “ข้อมูล” ในทีมชัดและเห็นภาพขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก การทำงานกับ Google Sheet และ Looker Studio จะสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น เมื่อใช้งานภายใต้ Google Workspace สำหรับองค์กร: อีเมลองค์กร @ชื่อโดเมนของบริษัท Google Drive / Shared Drive สำหรับเก็บไฟล์และชีต Google Sheets, Docs, Slides สำหรับทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ ใช้งานร่วมกับ Looker Studio เพื่อทำรายงานจากข้อมูลในองค์กรได้อย่างเป็นระบบ hostatom ให้บริการ Google Workspace สำหรับธุรกิจ พร้อมทีมงานคนไทยช่วยดูแลทั้งเรื่องการตั้งค่า การย้ายข้อมูล และแนะนำแนวทางการใช้ Google Sheets + Looker Studio ให้เหมาะกับการทำงานขององค์กรคุณ หากองค์กรของคุณต้องการเริ่มใช้ Google Workspace หรืออยากปรึกษาเรื่องการจัดโครงสร้างการเก็บข้อมูลและทำ Dashboard 👉 ดูรายละเอียดบริการได้ที่Google Workspace โดย hostatom – https://www.hostatom.com/google-workspace/

Read More »

เลือกใช้ PHP Version อย่างไรให้เหมาะกับเว็บไซต์ของคุณ

11 December 2025

รู้หรือไม่ว่า หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เว็บไซต์โหลดช้าหรือเสี่ยงต่อการถูกแฮ็ก ไม่ใช่เพราะโค้ดที่เขียนไม่ดี หรือรูปภาพที่มีขนาดใหญ่เกินไปเท่านั้น แต่ “PHP Version” ที่กำลังใช้งานอยู่ก็อาจมีส่วนเช่นกัน โดยบทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่า PHP Version คืออะไร และควรเลือกใช้อย่างไรให้เหมาะกับเว็บไซต์ของคุณมากที่สุด PHP Version คืออะไร? PHP เป็นภาษาหลักที่ใช้พัฒนาเว็บไซต์จำนวนมาก เช่น WordPress, Joomla, Drupal และระบบเว็บแอปพลิเคชันต่าง ๆ โดย PHP Version ก็คือรุ่นของ PHP ที่มีการพัฒนาและปรับปรุงความสามารถอย่างต่อเนื่อง เปรียบเสมือนการเลือกเครื่องยนต์ให้กับรถ ที่หากคุณมีรถหรูแต่ยังใช้เครื่องยนต์รุ่นเก่าเมื่อ 10 ปีก่อน รถของคุณก็ไม่มีทางวิ่งได้เต็มประสิทธิภาพ PHP Version สำคัญยังไง? การใช้ PHP เวอร์ชันเก่าอาจส่งผลเสียกว่าที่คุณคิด เช่น ความปลอดภัย (Security) – PHP เวอร์ชันเก่าที่หมดอายุการสนับสนุน (End of Life) จะไม่ได้รับการอุดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ทำให้แฮกเกอร์เจาะระบบได้ง่าย ประสิทธิภาพและความเร็ว (Performance) – PHP เวอร์ชันใหม่ (โดยเฉพาะ 8.x ขึ้นไป) ประมวลผลคำสั่งได้เร็วกว่าเวอร์ชันเก่าถึง 2-3 เท่า ส่งผลให้หน้าเว็บโหลดเร็วขึ้น และดีต่อคะแนน SEO ฟีเจอร์ใหม่ (New Features) – นักพัฒนาจะได้รับเครื่องมือใหม่ๆ ที่ช่วยให้เขียนโค้ดได้สั้นลง มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดข้อผิดพลาดต่าง ๆ (Bugs) สถานะของ PHP แต่ละเวอร์ชัน (อัปเดตถึงเวอร์ชัน 8.4 – ธันวาคม 2025) เพื่อให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เราได้แบ่งสถานะของ PHP ออกเป็นกลุ่มตามความเหมาะสม ดังนี้ สถานะเวอร์ชัน PHPคำแนะนำ 🚨 อันตราย5.6 – 7.4ทั้งหมดเข้าสู่สถานะ End of Life แล้ว เสี่ยงถูกแฮ็กและไม่มีการซัพพอร์ต หากเป็นไปได้ แนะนำให้เลิกใช้ทันที ⚠️ ใกล้หมดอายุ8.1หมดอายุการซัพพอร์ตแล้วเมื่อ พ.ย. 2025 หากยังใช้งานอยู่ แนะนำให้รีบอัปเกรดเป็น 8.3 หรือ 8.4 โดยด่วน ✅ เสถียร8.2อยู่ในช่วงท้ายของการสนับสนุน ยังคงปลอดภัย แต่ก็กำลังจะหมดอายุการซัพพอร์ตในปีหน้า ควรเริ่มพิจารณาอัปเกรด ⭐ แนะนำ8.3มีความเสถียรสูงที่สุด รองรับทั้ง CMS และปลั๊กอินส่วนใหญ่ และยังคงปลอดภัยอยู่ในระยะยาว 🔥 มาตรฐานใหม่8.4เร็วที่สุดและปลอดภัยที่สุด เหมาะสำหรับโปรเจกต์ใหม่และเว็บไซต์ที่ดูแลอย่างดี (อาจต้องเรื่องเช็กความเข้ากันได้กับปลั๊กอินเก่าอีกที) หลักการเลือก PHP Version ให้เหมาะกับเว็บไซต์ของคุณ 1. ตรวจสอบ CMS Theme และ Plugin หากคุณใช้ WordPress, Joomla หรือ Drupal ให้ตรวจสอบว่าเวอร์ชันปัจจุบันของคุณรองรับ PHP ตัวไหนอยู่บ้าง ข้อควรระวัง : การอัปเดต PHP ไปเป็น 8.x หรือ 8.4 โดยที่ธีมหรือปลั๊กอินยังเป็นรุ่นเก่า อาจทำให้เว็บพัง หรือแสดงผลผิดเพี้ยนได้ เนื่องจากโค้ดเก่าอาจใช้คำสั่งที่ PHP เวอร์ชันใหม่ยกเลิกไปแล้ว 2. เน้นความเสถียรและสดใหม่ เว็บไซต์ธุรกิจ/องค์กร (Business Critical) – แนะนำเป็น PHP เวอร์ชัน 8.3 เพราะเป็นจุดสมดุลที่ดีที่สุดระหว่างความปลอดภัยและความเข้ากันได้ โปรเจกต์ใหม่ (New Project) – แนะนำ PHP เวอร์ชัน 8.4 เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดและรองรับการใช้งานในอนาคตได้ยาวนานที่สุด 3. ทดสอบก่อนเริ่มใช้งานจริง นับว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด อย่าได้เปลี่ยน PHP Version บนหน้าเว็บจริงทันที ให้สร้างระบบทดสอบ (Staging) แล้วลองเปลี่ยนเวอร์ชันดูก่อน เพื่อเช็กว่าหน้าเว็บยังทำงานได้ปกติหรือไม่ ฟอร์มติดต่อใช้งานได้ไหม หรือมี Error อะไรแจ้งเตือนหรือเปล่า การเลือกใช้ PHP Version ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นหัวใจสำคัญของการดูแลเว็บไซต์ การเปลี่ยนมาใช้ PHP เวอร์ชันที่ใหม่กว่าไม่เพียงแต่ช่วยให้เว็บโหลดเร็วขึ้นจนลูกค้ารู้สึกดี แต่ยังช่วยปกป้องข้อมูลสำคัญของคุณจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อีกด้วย ดังนั้น อย่ารอให้เว็บไซต์มีปัญหาแล้วค่อยแก้ เริ่มต้นตรวจสอบเวอร์ชัน PHP ของคุณวันนี้ เพื่อประสิทธิภาพของเว็บไซต์ที่ดีที่สุดในระยะยาวกันเถอะ หากคุณกำลังมองหาเว็บโฮสติ้งที่ใช้งานง่ายและปลอดภัย สามารถดูรายละเอียดแพ็กเกจ Web Hosting ของเราได้ที่👉 https://www.hostatom.com/web-hosting

Read More »

What Our Users Say

tososay.com

ประทับใจในตลอดทุกการใช้งานที่มีมาตลอด กับ Hostatom ครับ

นอกจากใช้บริการพื้นที่และระบบแล้ว ทีมงานยังใส่ใจ เข้าใจ และรับฟัง การทำงานร่วมกันแม้ว่าจะเป็นระบบหน้าบ้าน ทีมงานก็ให้คำแนะนำที่จะใช้งานกับระบบหลังบ้านหรือโฮสต์ได้อย่างดี ขอบคุณที่ให้บริการมาตลอดครับ แนะนำสำหรับมือใหม่ และมืออาชีพ ไว้วางใจ hostatom ได้ครับ

nailekcook.com

ที่นี่บริการดีมากกกกค่ะ 10/10 ไม่หักคะแนนเลย

ช่วยเหลือ 24 ชม.จริงๆ ให้คำแนะนำ แก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้รวดเร็ว พี่ๆ เทคนิค และพี่ๆแอดมิน พูดจาดีมาก ลูกค้าไม่เข้าใจก็พยายามอธิบาย ไม่ผิดหวังเลยค่ะ

guiaespanolentailandia.com

ทีมงานซัพพอร์ตให้บริการดีมากครับ

ผมพึ่งศึกษาการทำเว็บมีปัญหาอะไรทีมซัพพอร์ตของ hostatom ช่วยได้ตลอดเลย ให้คำปรึกษาดี และตอบไวมากเลยครับ