Our Services
Latest Knowledge Updates
เริ่มใช้ Power Automate เชื่อม Outlook-Excel-Teams อัตโนมัติ
18 November 2025
ถ้าคุณเบื่อกับงานเดิม ๆ ที่ต้องคอยก็อปปี้จากอีเมลไปวางใน Excel แล้วตามไปแจ้งใน Teams ซ้ำ ๆ ทั้งวัน บทความนี้เกิดมาเพื่อคุณเลย เราจะพาเริ่มใช้ Power Automate แบบ “ภาษาคนธรรมดา” เชื่อม Outlook, Excel, Teams ให้ทำงานอัตโนมัติ โดยไม่ต้องเขียนโค้ดแม้แต่บรรทัดเดียว แค่คลิกตามก็ทำเป็นได้ Power Automate คืออะไร Power Automate คือบริการของ Microsoft ที่เอาไว้ “ให้ระบบทำงานแทนเรา” เช่น รับอีเมลแล้วจดลง Excel ให้เอง หรือมีข้อมูลใหม่แล้วส่งแจ้งเตือนเข้า Teams โดยไม่ต้องเขียนโค้ด เป็นส่วนหนึ่งของตระกูล Microsoft Power Platform และทำงานร่วมกับแอปใน Microsoft 365 ได้ดีมาก เช่น Outlook, Excel, Teams, SharePoint ฯลฯ หัวใจของ Power Automate คือการสร้าง Flow (ลำดับงานอัตโนมัติ) ที่ประกอบด้วย: Connector – ตัวเชื่อมไปยังแอป/บริการ เช่น Outlook, Excel, Teams Trigger – เหตุการณ์ที่ทำให้ Flow เริ่มทำงาน (เช่น “มีอีเมลเข้าใหม่”) Action – ให้ทำอะไรต่อ เช่น “เพิ่มแถวใน Excel” หรือ “ส่งข้อความเข้า Teams” คิดภาพง่าย ๆ: เมื่อเกิดเหตุการณ์ A ใน Outlook → ให้ไปทำ B ใน Excel → แล้วแจ้ง C ที่ Teams อัตโนมัติ สิ่งที่ต้องเตรียม ก่อนเริ่มใช้งาน Power Automate บัญชี Microsoft 365 / Microsoft 365 Business ที่มี Outlook, Excel, Teams และสิทธิ์ใช้ Power Automate (แผนธุรกิจส่วนใหญ่มีสิทธิ์ใช้ตัวคอนเนกเตอร์มาตรฐานได้อยู่แล้ว) ใช้อีเมล / Excel / Teams ขององค์กรอยู่แล้ว (จะสะดวกมาก) อินเทอร์เน็ต + เว็บบราวเซอร์ (Chrome, Edge ฯลฯ) รู้จักคำสำคัญ 3 ตัว: Flow, Trigger, Action Flow = สูตรการทำงานอัตโนมัติเหมือนเราเขียนลิสต์งานให้ระบบว่า “ถ้าเกิดแบบนี้ → ให้ทำสิ่งนี้ ๆ ตามลำดับ” Trigger = จุดเริ่มต้น เช่น มีอีเมลใหม่เข้า Inbox มีไฟล์ใหม่ในโฟลเดอร์ มีแถวใหม่ในตาราง Excel Action = ขั้นตอนที่ให้ระบบทำ เช่น เพิ่มข้อมูลลง Excel ส่งข้อความเข้า Teams ส่งอีเมลตอบกลับอัตโนมัติ ตัวอย่างขั้นตอนใช้ Power Automate กับ Outlook-Excel-Teams ตัวอย่างนี้จะทำ Flow ว่า: 📑 เมื่อมีอีเมลใหม่เข้า Outlook ที่เราสนใจ → บันทึกข้อมูลลง Excel → แจ้งเตือนใน Teams อัตโนมัติ ขั้นตอนที่ 1 -เตรียมตาราง Excel ให้พร้อม เปิด Excel Online (ผ่านเว็บ หรือใน OneDrive/SharePoint) จากตัวอย่างนี้จะเปิดผ่านเว็บคลิก “Create blank workbook” เพื่อสร้างไฟล์ สร้างไฟล์ใหม่ชื่อเช่น customer-email.xlsx สร้างตาราง (Insert → Table) ลากคลุมคอลัมน์ตามจำนวนหัวคอลัมน์ ระบบจะแสดงหน้าต่างขึ้นมาแล้วถามว่า “ข้อมูลที่ต้องการใช้ อยู่ในช่วง ….” จากนั้นให้ติ๊กถูก ✔️ หน้าหัวข้อ “My table has headers” (ตารางของฉันมีหัวเรื่อง)คลิก “OK“ มีหัวคอลัมน์เช่น วันที่ ผู้ส่ง หัวข้ออีเมล หมายเหตุ ตั้งชื่อ Table ที่เราสร้าง โดยคลิกที่ Tabel Design ตั้งชื่อ Table1 (หรือจะใช้ชื่ออื่นก็ได้นะคะ) Power Automate สามารถเชื่อมกับไฟล์ Excel ที่อยู่บน OneDrive/SharePoint แล้วทำงานกับ “Table” ภายในนั้นได้เลยจากนั้นให้จำชื่อไฟล์และ Table ไว้ ขั้นตอนที่ 2 – สร้าง Flow อัตโนมัติจาก Outlook เข้าหน้าเว็บ Power Automate (https://make.powerautomate.com) ล็อกอินด้วยบัญชี Microsoft 365 ด้วยบัญชีของคุณเลือกเมนู Create เลือก “Automated cloud flow” (Flow ที่รันอัตโนมัติเมื่อมีเหตุการณ์) ตั้งชื่อ Flow เช่น “Record the email in a table and notify Teams” (บันทึกอีเมลเข้าตาราง + แจ้ง Teams)ในช่องเลือก Trigger ให้ค้นหา “Outlook” แล้วเลือก Trigger ตัวอย่างเช่น When a new email arrives (V3) (เมื่อมีอีเมลใหม่เข้า) จากตัวเชื่อม Office 365 Outlook คลิก “Create“ ระบบจะสร้างหน้า Action ดังภาพ ขั้นตอนที่ 3 – เพิ่ม Action ให้บันทึกลง Excel กด New step (ขั้นตอนใหม่) หรือ + ค้นหา “Excel Online” เลือก Excel Online (Business)ที่ Excel Online ให้เลือก Add a row into a table หากไม่เจอให้คลิกที่ “See more” ดังภาพ เลือก “Add a row into a table“ ระบบจะพามาหน้า “Create connection” ให้คลิก “Sign in“ เลือกบัญชีที่ต้องการเชื่อมต่อ เลือก: Location: OneDrive หรือ SharePoint ขององค์กร ในตัวอย่างนี้ขอเลือก OneDrive Document Library: ที่เก็บไฟล์ File: เลือก customer-email.xlsx Table: เลือก Table1 ที่ Advanced Parameter เลือกตามคอลัมน์ที่เราสร้างไว้ จากนั้นคลิก Show all คลิกที่รูปสายฟ้า ตามภาพ ในช่องคอลัมน์ให้ใส่ค่าแบบดึงจากอีเมล (Dynamic content) เช่น วันที่ → Received Time ผู้ส่ง → From หัวข้ออีเมล → Subject Action จะถูกสร้าง ตามภาพ และ ข้อมูลอีเมลใหม่จะถูกเขียนลง Excel อัตโนมัติทุกครั้งที่ Trigger ทำงาน ขั้นตอนที่ 4 – เพิ่ม Action ให้แจ้งเตือนใน Teams ยังอยู่ใน Flow เดิมกด New step หรือ “+” อีกครั้ง ค้นหา “Teams” เลือก Microsoft Teamsที่ Microsoft Teams ให้เลือก Post message in a chat or channel หากไม่เจอให้คลิกที่ “See more” ดังภาพ เลือก “Post message in a chat or channel“ ระบบจะพามาหน้า “Create connection” ให้คลิก “Sign in“ เลือกบัญชีที่ต้องการเชื่อมต่อ ตั้งค่า ดังนี้ Post in: Channel Team: เลือกทีมที่ใช้จริงในองค์กร Channel: เช่น ทั่วไป หรือ งานลูกค้า ในบทความนี้ขอเลือกเป็น Test ในช่อง Message ให้ใส่ค่าแบบดึงจากอีเมล (Dynamic content)โดยคลิกที่รูปสายฟ้า ตามภาพ 📝ในข้อความให้เขียนประมาณ: มีอีเมลใหม่เข้าแล้ว 🎉 จาก: (From) หัวข้อ: (Subject) เวลา: (Received Time) เมื่อเสร็จแล้วจะได้ ดังภาพ จากนั้นกดปุ่ม “Save“ จากนี้ไป เมื่อมีอีเมลตามเงื่อนไขเข้า:Outlook → Excel ถูกอัปเดต → Teams ได้ข้อความแจ้งเตือนอัตโนมัติ เมื่อทดสอบส่งจดหมายแล้วใน Excel จะมีข้อความ ดังภาพ ส่วนใน Microsoft Teams จะมีข้อความแสดง ดังภาพ ตัวอย่าง Flow ง่าย ๆ เพิ่มเติมที่ทำได้คล้ายกัน แค่เปลี่ยน Trigger/Action ก็ได้ Flow ใหม่ทันที เช่น: มีไฟล์แนบมาในอีเมล → ให้เซฟไฟล์แนบลงโฟลเดอร์ OneDrive/SharePoint อัตโนมัติ แบบฟอร์มออนไลน์ส่งเข้ามา → ให้บันทึกข้อมูลลง Excel และแจ้งทีมผ่าน Teams มีคำว่า “ด่วน” ใน Subject → ให้ส่งแจ้งเตือนเข้า Teams หรือส่งอีเมลต่อไปหาอีกคนหนึ่ง ทั้งหมดนี้ใช้แค่การ “จิ้มเลือก” Trigger + Action ไม่ต้องเขียนโค้ดเองเลย เคล็ดลับสำหรับมือใหม่ Power Automate เริ่มจาก Template ก่อนบน Power Automate มีเทมเพลตเชื่อม Outlook – Excel – Teams ให้เลือกหลายแบบ เอามาใช้แล้วค่อยแก้ให้ตรงกับงานเรา ทดสอบด้วยเคสเล็ก ๆสร้าง Flow แล้วลองส่งอีเมลทดสอบ 1–2 ฉบับ ดูว่า Excel เติมข้อมูลถูกไหม / Teams แจ้งไหม ก่อนเอาไปใช้จริงทั้งทีม ตั้งชื่อ Flow ให้เข้าใจง่ายเช่น Outlook → Excel ลูกค้าใหม่ → แจ้ง Teams จะช่วยให้ทีมคนอื่นเปิดมาดูแล้วรู้ทันทีว่าทำอะไร ถ้า Flow พัง / Errorในหน้า Flow จะมีประวัติการรัน (Run History) บอกเลยว่าพังตรงขั้นไหน ทำให้ไล่แก้ได้ง่ายขึ้น Power Automate คือผู้ช่วยอัตโนมัติที่เชื่อม Outlook, Excel, Teams ให้ทำงานแทนเรา โดยใช้แนวคิดง่าย ๆ แค่ Trigger เริ่ม – Action ทำ เริ่มจาก Flow ตัวอย่างเช่น “อีเมลเข้า → จดลง Excel → แจ้ง Teams” ก็ช่วยลดงานมือซ้ำ ๆ ได้เยอะ มือใหม่ไม่ต้องเขียนโค้ด แค่ลาก คลิกเลือกแอปและฟิลด์ให้ตรง ก็เริ่มทำ Automation ใน Microsoft 365 ได้ทันทีใช้ไปสักพักคุณจะเริ่มมองงานประจำในมุมใหม่ว่า “อันนี้ให้ Power Automate ทำแทนได้ไหม” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการทำงานแบบอัตโนมัติทั้งทีม ถ้าอยากใช้ Power Automate แบบเต็มประสิทธิภาพ แนะนำให้ใช้คู่กับ Microsoft 365 / Microsoft 365 Business ที่รวม Outlook, Excel, Teams และบริการคลาวด์ต่าง ๆ ไว้ในชุดเดียว ทำให้เชื่อมต่อผ่าน Power Automate ได้สะดวก และใช้คอนเนกเตอร์มาตรฐานได้ทันที
มือใหม่ต้องรู้! โหลดไฟล์จาก Google Drive ลงคอม
17 November 2025
ทุกวันนี้เราเก็บไฟล์งาน รูป และเอกสารสำคัญไว้ใน Google Drive กันแทบหมด แต่พอถึงเวลาจะ “โหลดลงเครื่อง” กลับงงว่าจะกดตรงไหนดี โหลดไฟล์หรือโฟลเดอร์ยังไงไม่ให้หายหรือซ้ำ บทความนี้จะพาไล่ทีละขั้นตอน ทั้งบนคอมและมือถือ ให้คุณดาวน์โหลดไฟล์จาก Google Drive ได้แบบง่าย ๆ และไม่มึนอีกต่อไป รู้ก่อนโหลด: ไฟล์บน Google Drive แบบไหนดาวน์โหลดได้บ้าง บน Google Drive คุณสามารถดาวน์โหลดได้ทั้ง: ✅ ไฟล์เดี่ยว (เช่น .docx, .xlsx, .pdf, .jpg, .png, .mp4 ฯลฯ) ✅ ไฟล์ Google (Docs, Sheets, Slides ฯลฯ) – จะถูกแปลงเป็นไฟล์ชนิดที่เลือกตอนดาวน์โหลด เช่น .docx / .xlsx / .pptx / .pdf ✅ โฟลเดอร์ทั้งโฟลเดอร์ – ระบบจะบีบอัดเป็นไฟล์ .zip ให้ก่อนดาวน์โหลด ✅ ไฟล์ใน Shared drive (ไดรฟ์ที่แชร์) – ถ้าคุณมีสิทธิ์เข้าถึง/ดาวน์โหลด ⚠️ คำเตือน: หากไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่ต้องการดาวน์โหลดมีขนาดใหญ่ หรือมีไฟล์ย่อยจำนวนมาก ระบบจะใช้เวลาเตรียมไฟล์ (Preparing download) นานกว่าปกติ และจะถูกบีบอัดเป็นไฟล์ .zip ก่อนดาวน์โหลดเสมอ ในช่วงนี้ไม่ควรปิดแท็บหรือรีเฟรชหน้า เพราะอาจทำให้ต้องเริ่มดาวน์โหลดใหม่ ถ้ากดดาวน์โหลดจาก Shared drive หรือไฟล์ที่ผู้อื่นแชร์ให้ แล้วขึ้นแจ้งว่าไม่สามารถดาวน์โหลดได้ อาจเกิดจากเจ้าของไฟล์หรือผู้ดูแลระบบ (Admin) จำกัดสิทธิ์ไว้ ให้ตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึง (Permission) หรือแจ้งผู้ดูแลระบบ Google Workspace ขององค์กรให้ช่วยตรวจสอบ ดาวน์โหลด “ไฟล์เดี่ยว” จาก My Drive หรือ Shared drive Login เข้าบัญชี Google ของคุณ ไปที่ Google Apps => Drive หรือ พิมพ์ URL: https://drive.google.com/ ไปยังโฟลเดอร์ที่เก็บไฟล์ที่ต้องการ คลิกไฟล์ที่ต้องการดาวน์โหลด คลิกขวา => เลือก ดาวน์โหลด (Download) ไฟล์จะถูกดาวน์โหลดลงเครื่อง (ดูได้จากแถบดาวน์โหลดด้านล่างของเบราว์เซอร์ หรือในโฟลเดอร์ “ดาวน์โหลด/Downloads” บนเครื่อง) ดาวน์โหลด “หลายไฟล์พร้อมกัน” กด Ctrl (Windows) หรือ Cmd (macOS) ค้างไว้คลิกเลือกหลายไฟล์ที่ต้องการ คลิกขวา => เลือก ดาวน์โหลด Google Drive จะบีบอัดไฟล์ทั้งหมดเป็นไฟล์เดียวแบบ .zipเมื่อดาวน์โหลดเสร็จ ให้ไปแตกไฟล์ (Extract) ที่โฟลเดอร์ปลายทางบนเครื่อง ดาวน์โหลด “ทั้งโฟลเดอร์” ที่หน้า Google Drive ให้ไปยังตำแหน่งโฟลเดอร์เป้าหมาย คลิกหนึ่งครั้งที่โฟลเดอร์ที่ต้องการ คลิกขวา => เลือก ดาวน์โหลด ระบบจะบีบอัดโฟลเดอร์ทั้งหมดเป็น .zipหลังดาวน์โหลดเสร็จ ให้แตกไฟล์ .zip เพื่อใช้งานไฟล์ด้านใน 💡 ทิป: เคล็ดลับการดาวน์โหลดไฟล์จำนวนมาก:ถ้าต้องดาวน์โหลดโฟลเดอร์ใหญ่หรือไฟล์จำนวนมากเป็นประจำ แนะนำให้ใช้ Google Drive for desktop ซิงก์โฟลเดอร์ลงมาที่เครื่อง แล้วคัดลอก/ย้ายไฟล์จากโฟลเดอร์บนเครื่องแทนการดาวน์โหลดผ่านหน้าเว็บ ซึ่งมักเสถียรกว่าและลดโอกาสดาวน์โหลดค้างทิปแก้ปัญหาโหลดช้า/โหลดไม่สำเร็จ: ลองเปลี่ยนเบราว์เซอร์ หรือเปิดโหมดไม่ระบุตัวตน (Incognito) เพื่อทดสอบ ตรวจสอบพื้นที่ว่างในฮาร์ดดิสก์ ว่ามีเพียงพอสำหรับไฟล์ที่กำลังดาวน์โหลดหรือไม่ ถ้าใช้งานผ่านเครือข่ายสำนักงานที่มีการจำกัดทราฟฟิก ให้ลองเปลี่ยนมาใช้เครือข่ายอื่นชั่วคราว เช่น ใช้ hotspot จากมือถือ ทริกจัดการไฟล์ตอนดาวน์โหลด ตั้งชื่อไฟล์ให้เข้าใจง่ายก่อนโหลด: ก่อนดาวน์โหลด ลองเปลี่ยนชื่อไฟล์บน Drive ให้ชัดเจน เช่น ใบเสนอราคา_ลูกค้าA_2025-11-17.pdf หรือ รายงานยอดขาย_Q4_2025.xlsx จะช่วยให้ตอนเปิดในโฟลเดอร์ดาวน์โหลด ไม่สับสนว่าไฟล์ไหนคือเวอร์ชันล่าสุด ระวังไฟล์ซ้ำในโฟลเดอร์ “ดาวน์โหลด”: ถ้าดาวน์โหลดไฟล์ชื่อเดิมซ้ำกัน ระบบอาจเติม (1), (2) ต่อท้ายชื่อไฟล์ หรือ แนะนำให้ย้ายไฟล์ที่ดาวน์โหลดแล้วเข้าไปไว้ในโฟลเดอร์เฉพาะ เช่น งานลูกค้า/ชื่อลูกค้า/ หรือ เอกสารบัญชี/ปี_2025/ ไฟล์ใหญ่มาก โหลดบ่อย ใช้ Drive for desktop แทน: ถ้าองค์กรใช้ Google Workspace สามารถติดตั้ง Drive for desktop แล้ว “แมป” Drive เข้าเครื่องให้เหมือนเป็นไดรฟ์อีกลูกหนึ่ง จากนั้นก็ลากไฟล์ไป–มาได้เหมือนโฟลเดอร์ปกติบนคอม ช่วยลดเวลารอซิงค์และลดการดาวน์โหลดซ้ำ ๆ ปัญหายอดฮิตและวิธีแก้แบบสั้น ๆ โหลดไฟล์ไม่ได้ / ปุ่มดาวน์โหลดไม่ขึ้น→ เช็กสิทธิ์แชร์ไฟล์ (ผู้แชร์อาจจำกัดไม่ให้ดาวน์โหลด) หรือปรึกษา Admin Google Workspace ไฟล์ .zip แตกไฟล์ไม่ได้→ อัปเดตโปรแกรมแตกไฟล์ (เช่น 7-Zip, WinRAR) หรือใช้ฟังก์ชัน built-in ของ Windows/macOS โหลดแล้วไฟล์เปิดไม่ได้ / ตัวหนังสือเพี้ยน→ สำหรับไฟล์จาก Google Docs/Sheets/Slides ให้ลองเปลี่ยนเป็น .pdf แทน หรือใช้โปรแกรมอัปเดตเวอร์ชันล่าสุด การดาวน์โหลดไฟล์จาก Google Drive ให้ราบรื่นขึ้นอยู่กับ 3 เรื่องหลักคือ วิธีที่เลือกดาวน์โหลด (ไฟล์เดี่ยว / หลายไฟล์ / ทั้งโฟลเดอร์), ขนาดและจำนวนไฟล์, และ สิทธิ์การเข้าถึง หากเข้าใจหลักการเหล่านี้ ก็จะช่วยลดปัญหาโหลดค้าง, โหลดช้า หรือโหลดไม่สำเร็จได้มาก สำหรับองค์กรที่ใช้ Google Drive ทำงานร่วมกันทุกวัน การมีบัญชี Google Workspace ที่ตั้งค่าถูกต้อง พร้อมผู้ดูแลระบบคอยช่วยตรวจสอบสิทธิ์และโควตาพื้นที่ จะทำให้การแชร์และดาวน์โหลดไฟล์เป็นเรื่องง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้น hostatom ให้บริการ Google Workspace และโซลูชันด้านโฮสติ้งสำหรับองค์กร พร้อมช่วยดูแลการตั้งค่า, สิทธิ์การใช้งาน และปัญหาการใช้ Google Drive ของคุณ ให้ทีมงานทำงานกับไฟล์ได้อย่างต่อเนื่องและมั่นใจมากกว่าเดิม
อัปโหลดไฟล์ขึ้น Google Drive ง่ายใน 5 คลิก
14 November 2025
การใช้งาน Google Drive เป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานออนไลน์ที่สะดวก ปลอดภัย และแชร์ง่าย โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องการเก็บไฟล์ให้ปลอดภัยหรือแชร์ให้ทีมงาน ซึ่ง “การอัปโหลดไฟล์” คือขั้นตอนแรกที่ทุกคนควรรู้ และวันนี้จะสอนแบบจับมือทำ ไม่ต้องมีพื้นฐานก็เข้าใจได้ง่าย! วิธีอัปโหลดไฟล์เข้า Google Drive วิธีที่ 1: ลากแล้ววาง (Drag & Drop) Login เข้าบัญชี Google ของคุณ ไปที่ Google Apps => Drive หรือ พิมพ์ URL: https://drive.google.com/ เปิดหรือสร้างโฟลเดอร์ที่ต้องการเก็บไฟล์ ลากไฟล์จากเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณมาวางในหน้าต่างของ Drive รอให้ไฟล์อัปโหลดจนเสร็จ (จะเห็นสัญลักษณ์ ✔️ เมื่อสำเร็จ) วิธีที่ 2: ใช้เมนู “+ New” เข้า Google Drive แล้วคลิกปุ่ม “+ ใหม่” (ด้านซ้ายบน) เลือก: File upload : หากต้องการอัปโหลดไฟล์เดี่ยว Folder upload: หากต้องการอัปโหลดทั้งโฟลเดอร์ เลือกไฟล์หรือโฟลเดอร์จากเครื่องของคุณ แล้วคลิก Upload ระบบจะขึ้นหน้าต่างว่า “จะอัปโหลดไฟล์ใช่หรือไม่”หากต้องการอัปโหลดให้คลิกที่ปุ่ม “Upload” รอจนขึ้นข้อความว่าอัปโหลดเสร็จ 🛡️ เคล็ดลับความปลอดภัยในการใช้งาน Google Drive ตั้งค่าการแชร์ให้เหมาะสม (เช่น “เฉพาะคนในองค์กร” หรือ “เฉพาะผู้มีลิงก์”) อย่าแชร์สิทธิ์ “แก้ไข” หากไม่จำเป็น ตรวจสอบชื่อไฟล์ให้สื่อความ และระวังข้อมูลสำคัญ การอัปโหลดไฟล์เข้า Google Drive เป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้คุณทำงานออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะทำงานคนเดียว หรือทำงานเป็นทีม หากคุณเริ่มต้นได้ถูกต้อง การจัดการไฟล์ก็จะง่ายขึ้นมาก และถ้าใช้ Google Workspace กับ hostatom ก็ยิ่งสะดวกเพราะมีผู้ช่วยเป็นภาษาไทยดูแลทุกขั้นตอนให้คุณไม่ต้องปวดหัว หากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Google Workspace หรืออยากย้ายระบบอีเมลมาใช้งานกับ Google อย่างมืออาชีพสามารถติดต่อเราได้ที่ช่องทางต่อไปนี้📞 0-2107-3466💙 Facebook: https://www.facebook.com/hostatomdotcom❤️ YouTube: https://www.youtube.com/user/hostatom💚 Line: @hostatom
What Our Users Say
tososay.com
ประทับใจในตลอดทุกการใช้งานที่มีมาตลอด กับ Hostatom ครับ
นอกจากใช้บริการพื้นที่และระบบแล้ว ทีมงานยังใส่ใจ เข้าใจ และรับฟัง การทำงานร่วมกันแม้ว่าจะเป็นระบบหน้าบ้าน ทีมงานก็ให้คำแนะนำที่จะใช้งานกับระบบหลังบ้านหรือโฮสต์ได้อย่างดี ขอบคุณที่ให้บริการมาตลอดครับ แนะนำสำหรับมือใหม่ และมืออาชีพ ไว้วางใจ hostatom ได้ครับ
nailekcook.com
ที่นี่บริการดีมากกกกค่ะ 10/10 ไม่หักคะแนนเลย
ช่วยเหลือ 24 ชม.จริงๆ ให้คำแนะนำ แก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้รวดเร็ว พี่ๆ เทคนิค และพี่ๆแอดมิน พูดจาดีมาก ลูกค้าไม่เข้าใจก็พยายามอธิบาย ไม่ผิดหวังเลยค่ะ
guiaespanolentailandia.com
ทีมงานซัพพอร์ตให้บริการดีมากครับ
ผมพึ่งศึกษาการทำเว็บมีปัญหาอะไรทีมซัพพอร์ตของ hostatom ช่วยได้ตลอดเลย ให้คำปรึกษาดี และตอบไวมากเลยครับ
