Our Services
Latest Knowledge Updates
การใช้งาน Google Looker Studio อย่างง่ายจาก Google Sheet
12 December 2025
ถ้าคุณมีข้อมูลอยู่ใน Google Sheet อยู่แล้ว เช่น ยอดขายรายวัน, รายชื่อลูกค้า, ข้อมูลแคมเปญ หรือสต๊อกสินค้า แต่ทุกครั้งที่ต้องทำรายงานก็ต้องมานั่งจัดตาราง, ทำกราฟใน Excel/Sheets ใหม่ทุกเดือน… จริง ๆ คุณสามารถใช้ Google Looker Studio ดึงข้อมูลจาก Google Sheet มาทำเป็น รายงาน/แดชบอร์ดสวย ๆ ดูง่าย อัปเดตอัตโนมัติ ได้เลย ไม่ต้องก็อป – วางซ้ำ ๆ แค่คนในทีมอัปเดต Sheet ตัวเดิม รายงานใน Looker Studio ก็อัปเดตตาม คู่มือนี้จะพาแบบ “จับมือทำ” ตั้งแต่ 0:เตรียม Google Sheet ให้พร้อม → เชื่อมต่อกับ Looker Studio → วางกราฟ/ตาราง → ทำตัวกรอง → แชร์ให้คนอื่นดูได้ อ่านจบแล้วทำเป็นแน่นอน แม้ไม่เคยใช้มาก่อนเลย ภาพรวมก่อนเริ่ม: Sheet เป็นที่เก็บข้อมูล, Looker เป็นหน้ารายงาน ขอให้มองแบบง่าย ๆ ว่า: Google Sheet = ที่เก็บ “ข้อมูลดิบ” เช่น ตารางยอดขาย ตารางลูกค้า Google Looker Studio = “หน้ารายงาน/แดชบอร์ด” ที่ดึงข้อมูลจากชีตมาทำกราฟ – ตัวเลข – ตารางให้ดูสบายตา ลำดับการทำงานคือ เตรียมตารางใน Google Sheet ให้เรียบร้อย → สร้าง Report ใน Looker Studio → เชื่อม Data Source เป็น Google Sheet → วางกราฟ/ตาราง → แชร์ให้ทีมดู ส่วนที่ 1 – เตรียม Google Sheet ให้พร้อมก่อนเชื่อม โครงสร้างตารางที่ดีควรเป็นแบบนี้ แถวที่ 1 เป็นหัวคอลัมน์ ไม่มีหัวตารางซ้ำตรงกลาง อย่าใส่หัวคอลัมน์ย้ำที่แถว 20, 40 อีกรอบ ทั้งตารางควรมี header แค่บรรทัดแรก ไม่ใช้ Merge เซลล์ในส่วนข้อมูล หลีกเลี่ยงการ Merge เซลล์ในแถวข้อมูล เพราะ Looker Studio จะอ่านลำบาก ประเภทข้อมูลถูกต้อง คอลัมน์วันที่ → ตั้งเป็น Date จริง ๆ (ไม่ใช่ Text) ตัวเลข → เป็น Number (ไม่ใช่มีตัวอักษรปน เช่น “1,500 บาท”) ถ้ามีคำว่า “บาท” อยากให้เก็บแค่ตัวเลขใน Sheet แล้วไปใส่รูปแบบ (format) ในรายงานอีกที ส่วนที่ 2 – สร้างรายงานใหม่ใน Looker Studio และเชื่อมกับ Google Sheet เข้า Looker Studio โดย เปิดเบราว์เซอร์ (แนะนำ Chrome) พิมพ์ URL: https://lookerstudio.google.com/ ที่หน้า Home ให้เลือก “Blank report” ทันทีที่สร้าง Blank report ใหม่ Looker Studio จะถามว่า:“Add data to report” (เพิ่มข้อมูลอะไรเข้ารายงาน) เลือก “Google Sheets” จากรายการ เลือกไฟล์ที่เก็บข้อมูล ในบทความนี้ขอเลือกไฟล์ตัวอย่างที่สร้างไว้ชื่อ “Example-sales-data“ เลือก Sheet/Tab ที่เป็นตารางหลักที่เตรียมไว้ ในบทความนี้ขอเลือก sheet ตัวอย่างที่สร้างไว้ชื่อ “Sheet1“ ติ๊กตัวเลือก: Use first row as headers (ใช้แถวแรกเป็นหัวคอลัมน์) เลือกว่าจะให้รวมข้อมูล ตั้งค่าอื่น ๆ ตามค่า default ไปก่อนได้ กด “Add“ จากนั้นกด “Add to report“ ตอนนี้รายงานของคุณ “ผูก” กับ Google Sheet แล้ว จากนี้ไป ถ้ามีคนอัปเดตข้อมูลใน Sheet (เช่น เพิ่มแถวยอดขายใหม่) รายงานใน Looker Studio สามารถกด Refresh เพื่อดึงข้อมูลล่าสุดได้ ส่วนที่ 3 – สร้างองค์ประกอบพื้นฐาน: ตัวเลขสรุป + ตาราง + กราฟ สร้างตัวเลขสรุปยอดขายรวม (Scorecard) ในหน้ารายงาน Looker Studio ให้ดูที่แถบเมนูด้านบน คลิกที่ “Insert → เลือก Scorecard“ คลิกแล้วลากไปวางบนพื้นที่รายงานด้านบน ด้านขวามือ (แท็บ Data) จะเห็น Data source = Google Sheet ที่เราเลือก Metric = ค่าเริ่มต้นอาจเป็น Record Count ให้คลิกเปลี่ยนเป็น “ยอดขาย“ สร้างกราฟแท่ง “ยอดขายตามวัน” ในหน้ารายงาน Looker Studio ให้ดูที่แถบเมนูด้านบน คลิกที่ “Insert → เลือก Vertival bar chart“ ลากกราฟไปวางใต้ Scorecard ด้านขวา ในแท็บ Data: Dimension = เลือก “วันที่“ Metric = เลือก “<strong>ยอดขาย</strong>“ สร้างตาราง “ยอดขายตามสินค้า” ในหน้ารายงาน Looker Studio ให้ดูที่แถบเมนูด้านบน คลิกที่ “Insert → เลือก Table“ ลากไปวางด้านล่างหรือข้าง ๆ กราฟ ด้านขวา ตั้งค่า: Dimension (สีฟ้า) → เลือกว่าจะดูตามอะไร เช่น สินค้า Metric (สีเขียว) → เลือก ยอดขาย จะเพิ่ม Metric อื่น ๆ เช่น Record Count (จำนวนรายการขาย) ก็ได้ ส่วนที่ 4 – จัดหน้า (Layout) และตกแต่งให้ดูเป็น “แดชบอร์ดจริง ๆ” จัด Layout ให้เป็นโซน แนะนำโครงง่าย ๆ: แถวบนสุด → แสดง KPI สำคัญ (Scorecard เช่น ยอดขายรวม, จำนวนรายการขาย, จำนวนลูกค้า ฯลฯ) ส่วนกลาง → กราฟแนวโน้ม (ยอดขายตามวัน/เดือน) ส่วนล่าง → ตารางดูรายละเอียด (ยอดขายตามสินค้า, ภูมิภาค, ช่องทาง) มุมบนขวา → Date range และ Filter ต่าง ๆ พยายามเว้นช่องว่างให้พอดี ไม่อัดทุกอย่างจนแน่น ตั้ง Theme & สีให้เหมาะ คลิกขวา เลือก “Theme and layout“ เลือก Theme ที่ใกล้เคียงกับสีแบรนด์บริษัท/ลูกค้า สามารถปรับสีพื้นหลัง, สีกราฟ, สีหัวตาราง ฯลฯ ได้ และ เลือก Font ได้ ที่ “Layout “ จุดดีของการใช้ Looker Studio กับ Google Sheet คือ คุณ/ทีม แค่เข้าไปเพิ่มข้อมูลลงชีตรายงานจะใช้ข้อมูลชุดเดียวกันโดยไม่ต้องสร้างใหม่ สิ่งที่ต้องรู้: อัปเดตใน Sheet เพิ่มแถวข้อมูลใหม่ด้านล่าง หัวคอลัมน์ยังเหมือนเดิม Refresh ใน Looker Studio ในมุมมอง Edit จะมีเมนูเล็ก ๆ ให้กด Refresh data หรือในโหมดดู (View) ข้อมูลมักจะอัปเดตอัตโนมัติในช่วงเวลาหนึ่ง ถ้าเพิ่มคอลัมน์ใหม่ใน Sheet (เช่น เพิ่ม Cost, จำนวนชิ้นขาย) กลับมาที่ Looker Studio → ใน Data Source ต้องกด Reconnect/Fields เพื่อให้เห็นคอลัมน์ใหม่ แล้วค่อยนำไปใช้ในกราฟ/ตาราง การใช้งาน Google Looker Studio อย่างง่ายจาก Google Sheet จริง ๆ ไม่ได้ยากเลย ถ้าแบ่งคิดเป็นขั้น ๆ: เตรียม Google Sheet ให้เป็นตารางเรียบร้อย แถวแรกเป็นหัวคอลัมน์ ประเภทข้อมูลถูกต้อง สร้างรายงานใหม่ใน Looker Studio แล้วเชื่อม Data Source เป็น Google Sheet ที่เตรียมไว้ วางองค์ประกอบพื้นฐาน Scorecard แสดงยอดรวม กราฟเส้นแสดงแนวโน้มยอดขาย ตารางแสดงยอดขายตามสินค้า/ภูมิภาค ตัวกรองวันที่ + ตัวกรองเลือกสินค้า/ภูมิภาค ตกแต่ง Layout + Theme และแชร์ให้ทีม/ลูกค้าดูด้วยสิทธิ์ที่เหมาะสม ต่อไปเวลาอยากอัปเดตข้อมูล แค่แก้ใน Sheet รายงานก็ใช้ข้อมูลเซ็ตเดิมโดยไม่ต้องทำใหม่ทุกครั้ง เริ่มจาก Dashboard ง่าย ๆ หน้าเดียวก่อน เมื่อคุ้นมือแล้ว ค่อยต่อยอดเป็นหลายหน้า (Sales, Marketing, Finance) คุณจะพบว่า การใช้ Looker Studio + Google Sheet ช่วยลดเวลาทำรายงานลงได้มาก และทำให้การคุยเรื่อง “ข้อมูล” ในทีมชัดและเห็นภาพขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก การทำงานกับ Google Sheet และ Looker Studio จะสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น เมื่อใช้งานภายใต้ Google Workspace สำหรับองค์กร: อีเมลองค์กร @ชื่อโดเมนของบริษัท Google Drive / Shared Drive สำหรับเก็บไฟล์และชีต Google Sheets, Docs, Slides สำหรับทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ ใช้งานร่วมกับ Looker Studio เพื่อทำรายงานจากข้อมูลในองค์กรได้อย่างเป็นระบบ hostatom ให้บริการ Google Workspace สำหรับธุรกิจ พร้อมทีมงานคนไทยช่วยดูแลทั้งเรื่องการตั้งค่า การย้ายข้อมูล และแนะนำแนวทางการใช้ Google Sheets + Looker Studio ให้เหมาะกับการทำงานขององค์กรคุณ หากองค์กรของคุณต้องการเริ่มใช้ Google Workspace หรืออยากปรึกษาเรื่องการจัดโครงสร้างการเก็บข้อมูลและทำ Dashboard 👉 ดูรายละเอียดบริการได้ที่Google Workspace โดย hostatom – https://www.hostatom.com/google-workspace/
ตรวจสอบไฟล์ Backup อย่างไรให้ใช้ Restore ได้จริง ป้องกันการกู้ข้อมูลไม่ได้ตอนฉุกเฉิน
9 December 2025
หลายคนอาจเข้าใจว่าแค่มีไฟล์ Backup อยู่ก็อุ่นใจแล้ว แต่ความจริงนั้น ต่อให้มีไฟล์ Backup มากแค่ไหน แต่ถ้านำมาใช้ “กู้คืนไม่ได้” ไม่ว่าจะเพราะไฟล์เสียหาย ดาวน์โหลดไม่ครบ ขาดข้อมูลบางส่วน หรือ Restore แล้วเว็บพัง ไฟล์ Backup นั้นก็ไม่ได้มีค่าอะไรเลย โดยบทความนี้จะพาไปดูวิธีตรวจสอบไฟล์ Backup ที่นำไปใช้ได้กับทุกระบบ ไม่ว่าจะเป็น Hosting, CMS, Server หรือ Cloud ทำไมถึงต้องตรวจสอบไฟล์ Backup? การมีไฟล์ Backup แต่นำมาใช้ Restore ไม่ได้ ก็ไม่ต่างกับการไม่มีไฟล์ Backup เลย โดยสาเหตุหลัก ๆ ที่เราต้องตรวจสอบไฟล์ Backup ก็เพื่อให้แน่ใจว่า… ไฟล์ไม่โดนตัดตอนขณะสร้างหรือดาวน์โหลด สามารถแตกไฟล์ Backup ได้ ข้อมูล Database อยู่ครบ และเปิดเว็บได้ตามปกติ โครงสร้างโฟลเดอร์ถูกต้อง ทำให้กู้คืนได้ไม่มีปัญหา ไฟล์ Backup ไม่ถูก Ransomware กวาดล้างไปด้วย โดยการตรวจสอบไฟล์ Backup จะทำให้เรามั่นใจได้ว่า “ตอนต้องใช้จริง จะกู้ได้แน่นอน” ขั้นตอนตรวจสอบไฟล์ Backup ว่าใช้งานได้จริงหรือไม่ ขั้นที่ 1 : ตรวจสอบไฟล์เบื้องต้น เริ่มจากการเช็กแบบพื้นฐาน ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษอะไร ขนาดไฟล์ – ไม่ควรเล็กผิดปกติเมื่อเทียบกับ Backup รอบก่อน เช่น ถ้าเว็บมีขนาดหลายร้อย MB แต่ได้ไฟล์ Backup มาไม่กี่ KB หรือไม่กี่ MB ให้สงสัยว่าไฟล์มีปัญหาไว้ก่อน นามสกุลไฟล์ – เช่น ไฟล์เว็บไซต์มักเป็น .zip, .tar, .tar.gz หรือไฟล์ฐานข้อมูลควรเป็น .sql วันที่และเวลาของไฟล์ – ควรตรงกับรอบ Backup ที่ตั้งไว้ เพื่อป้องกันการหยิบไฟล์เก่าผิดวันมาใช้งาน ขั้นที่ 2 : ทดลองแตกไฟล์ (Extract Test) ทดลองแตกไฟล์บนเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือบนเซิร์ฟเวอร์ ผ่านโปรแกรมมาตรฐาน เช่น unzip / tar หรือโปรแกรมจัดการไฟล์ทั่วไป และดูว่า… แตกไฟล์ได้จนจบกระบวนการ ไม่มี Error ขึ้นระหว่างทาง ได้โฟลเดอร์และไฟล์ครบถ้วน ขั้นที่ 3 : ตรวจสอบโครงสร้างไฟล์เว็บ แม้จะแตกไฟล์ได้ไม่มีปัญหา แต่ก็ยังต้องดูกันต่อว่าโครงสร้างข้างในไฟล์นั้นถูกต้องหรือไม่ โดยโครงสร้างของเว็บควรมี… โฟลเดอร์ไฟล์เว็บไซต์ (เช่น public_html, www, site เป็นต้น) ไฟล์ระบบหรือไฟล์ตั้งค่าที่สำคัญ (config) โฟลเดอร์อัปโหลด เช่น images / uploads / media ขั้นที่ 4 : ตรวจสอบไฟล์ฐานข้อมูล (Database) ส่วนที่มักสร้างปัญหามากที่สุดเวลากู้ข้อมูล โดยให้ตวรจสอบไฟล์ .sql ด้วย Text Editor ว่า… เห็นเป็นข้อความคำสั่ง SQL ปกติ ไฟล์ไม่ควรเป็นอักขระมั่วหรือไฟล์ว่าง ทดลอง Import ลงฐานข้อมูลเปล่าดูว่า Import ได้จนจบหรือไม่ ขั้นที่ 5 : ทดลอง Restore ในสภาพแวดล้อมทดสอบ นับเป็นขั้นตอนที่แม่นยำที่สุด เพราะเป็นการลองกู้จริงเลย เพียงแต่ทำในพื้นที่ปลอดภัย เช่น Subdomain สำหรับทดสอบ Server หรือ Hosting สำรอง Localhost / Docker Test Environment ที่แยกจากเว็บจริง โดยระหว่างทดลอง Restore ให้เช็กดูว่า เว็บเปิดได้ตามปกติไหม มี Error ร้ายแรงหรือไม่ หน้าเว็บและข้อมูลแสดงครบหรือเปล่า หากทดสอบผ่าน หมายความว่าไฟล์ Backup ใช้งานได้จริง ขั้นที่ 6 : ตรวจสอบ Log หรือรายงานผล Backup ในหลาย ๆ ระบบจะมี Log หรือ Report การ Backup ซึ่งมักถูกมองข้ามอยู่ โดยให้ตรวจสอบข้อมูลใน Log ว่า… Backup เสร็จสมบูรณ์หรือไม่ มีไฟล์ไหนถูก Skip หรือ Error หรือเปล่า มี Warning ที่เกี่ยวกับพื้นที่หรือสิทธิ์ไฟล์หรือไม่ สัญญาณที่บอกว่าไฟล์ Backup อาจใช้งานไม่ได้ แม้จะมีไฟล์ Backup อยู่ แต่ถ้าเจอสัญญาณเหล่านี้ข้อใดข้อหนึ่ง แนะนำให้หยุดการ Restore ในทันที และตรวจสอบก่อน เพราะมีโอกาสสูงที่ไฟล์จะไม่สมบูรณ์หรือกู้คืนแล้วเว็บพัง จากขั้นตรวจสอบไฟล์ ไฟล์ Backup มีขนาด 0 KB ขนาดไฟล์เล็กผิดปกติเมื่อเทียบกับ Backup รอบก่อน ชื่อไฟล์หรือนามสกุลผิดจากรูปแบบเดิม วันที่ไฟล์ไม่ตรงกับรอบ Backup ที่ตั้งไว้ ดาวน์โหลดไฟล์มาแล้วเปิดไม่ได้ หรือดาวน์โหลดไม่ครบ จากขั้นตอนแตกไฟล์ แตกไฟล์ไม่สำเร็จ หรือหยุดกลางทาง พบ Error เช่น “unexpected end of archive” หรือ “cannot open file” แตกไฟล์ได้แค่บางโฟลเดอร์หรือไฟล์หายไป แตกไฟล์แล้วได้โฟลเดอร์ว่างเปล่า จากโครงสร้างไฟล์เว็บไซต์ ไม่มีโฟลเดอร์ไฟล์เว็บไซต์หลัก ไม่มีไฟล์ระบบหรือไฟล์ตั้งค่าที่สำคัญ มีแต่โฟลเดอร์เปล่า ไม่มีไฟล์จริง โครงสร้างไฟล์ผิดจากรูปแบบปกติของเว็บไซต์ จากไฟล์ฐานข้อมูล ไฟล์ .sql เปิดไม่ได้หรือเป็นอักขระมั่ว ไฟล์ฐานข้อมูลว่าง หรือมีขนาดเล็กผิดปกติ Import ฐานข้อมูลแล้วเกิด Error ระหว่างทาง คำสั่ง SQL ขาดตอนหรือไม่ครบ Import ไม่จบกระบวนการ จากการทดสอบ Restore เว็บเปิดไม่ได้ หรือขึ้น Error Page ข้อมูลบางส่วนหาย เช่น รูปภาพหรือบทความ หน้าเว็บโหลดได้แต่ระบบหลังบ้านใช้งานไม่ได้ เกิด Error ซ้ำ ๆ หลัง Restore แม้ไฟล์จะครบ จาก Log หรือรายงานการ Backup มีสถานะ Failed หรือ Skipped ใน Log พบ Warning เกี่ยวกับสิทธิ์ไฟล์หรือพื้นที่เต็ม Backup สำเร็จแต่มี Error แทรกอยู่ ไม่มี Log หรือ Report ให้ตรวจสอบเลย หากพบปัญหาควรทำอย่างไร? หยุดการ Restore ทันที เปลี่ยนไปใช้ไฟล์ Backup ชุดอื่น สร้าง Backup ใหม่จากแหล่งต้นทาง ตรวจสอบระบบ Backup อัตโนมัติว่าทำงานปกติหรือไม่ อย่าลืมเก็บ Backup ไว้หลายชุด ตามกฎ 3-2-1 ควรตรวจสอบไฟล์ Backup บ่อยแค่ไหน? เว็บทั่วไป → เดือนละครั้ง เว็บที่อัปเดตบ่อย → สัปดาห์ละครั้ง เว็บธุรกิจ / ร้านค้าออนไลน์ → ทดสอบเป็นรอบประจำ ดังนั้นอย่ารอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยตรวจ เพราะตอนนั้นอาจไม่มี Backup ที่ใช้ได้เหลืออยู่เลย การมี Backup อย่างเดียวอาจไม่พอ แต่ต้องเลือกใช้ไฟล์ที่พร้อม Restore จริง และรู้จักสังเกตความผิดปกติของไฟล์ Backup อยู่เสมอ โดยยิ่งเว็บสำคัญมากเท่าไหร่ ขั้นตอนเหล่านี้ยิ่งไม่ควรถูกข้ามมากเท่านั้น หากคุณกำลังมองหาเว็บโฮสติ้งที่ใช้งานง่ายและปลอดภัย สามารถดูรายละเอียดแพ็กเกจ Web Hosting ของเราได้ที่👉 https://www.hostatom.com/web-hosting
Copilot Prompts ใน Word สร้างเอกสาร
8 December 2025
ยุคนี้เราไม่จำเป็นต้อง “เก่ง Word” หรือ “โปร Excel” ถึงจะเขียนเอกสารสวย ๆ หรือวิเคราะห์ข้อมูลได้ดีอีกต่อไป เพราะ Microsoft Copilot เข้ามาเป็นผู้ช่วยที่ “ฟังภาษาคน” รู้เรื่อง แล้วแปลงเป็นเอกสารหรือการวิเคราะห์ให้เราอัตโนมัติ ใน Word เราสามารถสั่ง Copilot ว่า “ช่วยร่างสัญญาเบื้องต้นสำหรับลูกค้า SME ภาษาเป็นกันเองแต่สุภาพ” ส่วนใน Excel เราสามารถถามว่า “สรุปยอดขายแยกตามภูมิภาคให้หน่อย แล้วทำกราฟเปรียบเทียบให้ดูเข้าใจง่าย” Copilot จะช่วยย่อย แปลง และจัดรูปแบบให้ออกมาเป็นตาราง รายงาน หรือกราฟให้เลย โดยไม่ต้องเขียนสูตรยาว ๆ หรือสร้าง Pivot เองทุกครั้งอีกแล้ว คู่มือนี้จะสอน ทีละขั้น ตั้งแต่การเปิด Copilot ใน Word และ Excel, การเขียน Prompt แบบภาษาคน, จนถึงการตรวจและปรับผลลัพธ์ให้ตรงกับงานจริง เหมาะกับคนที่ “ไม่เคยใช้มาก่อน” แต่ต้องการเริ่มใช้ให้เป็นในองค์กร ส่วนที่ 1 – ก่อนเริ่มใช้ Copilot ใน Word และ Excel สิ่งที่ต้องมี ก่อนใช้ Copilot ต้องเช็ก 3 อย่างนี้ก่อน: มีสิทธิ์ใช้งาน Copilot ต้องเป็น Microsoft 365 แพลนที่มี Copilot หรือ Copilot for Microsoft 365 / Copilot Pro ส่วนใหญ่จะเป็นแพ็กเกจสาย Business / Enterprise ที่เปิดใช้ Copilot เพิ่มเติม ใช้ Word / Excel เวอร์ชันที่รองรับ Copilot แนะนำใช้ Microsoft 365 Apps เวอร์ชันล่าสุด (เดสก์ท็อป) หรือ Word/Excel for the web ควรอัปเดตโปรแกรมให้เป็นเวอร์ชันใหม่เสมอ เปิดการใช้งาน Connected Experiences / AI Features บางเคสต้องเปิดการใช้บริการที่ “วิเคราะห์เนื้อหา” เพื่อให้ Copilot อ่านเอกสารแล้วช่วยเราได้เต็มที่ ถ้าใช้องค์กรใหญ่ แนะนำให้เช็กกับ IT / Admin ว่าบัญชีของเรามีสิทธิ์ใช้ Copilot in Word/Excel แล้วหรือยัง ส่วนที่ 2 – ใช้ Copilot Prompts ใน Word: ให้ AI ร่าง แก้ และสรุปเอกสาร Copilot ใน Word อยู่ตรงไหน? ใน Word รุ่นใหม่ที่มี Copilot: เมื่อเปิดเอกสารใหม่/ว่าง ๆ จะเห็นกล่อง Draft with Copilot หรือ (โลโก้เล็ก ๆ บนหน้าเอกสาร หรือใน Ribbon แท็บ Home) หรือในแถบด้านบน (Ribbon) จะมีปุ่ม Copilot / Draft with Copilot ถ้าเห็นไอคอนนี้ แปลว่าพร้อมใช้งานแล้ว สั่งให้ Copilot “ร่างเอกสารใหม่” จากภาษาธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น “อยากให้ Copilot ร่างเอกสารจาก 0 เช่น ใบเสนอราคา, รายงานประชุม, แผนโครงการ“ ขั้นตอนการทำ มีดังนี้: Login เข้าบัญชี Microsoft 365 ของคุณ โดยพิมพ URL: office.com คลิก “Apps” → “Word” คลิกที่ “Create blank document“ คลิกที่ปุ่ม “Copilot” จะมีช่องให้พิมพ์คำสั่ง (Prompt) ตัวอย่าง Prompt: “ช่วยร่างรายงานการประชุมสำหรับทีมการตลาด สรุปเป้าหมายประจำไตรมาส โทนทางการ แต่อ่านง่าย แบ่งหัวข้อเป็น 1. วัตถุประสงค์ 2. แผนงาน 3. ตัวชี้วัดสำคัญ” “สร้างร่างสัญญาว่าจ้างฟรีแลนซ์ด้านออกแบบกราฟิก ภาษาไทย ทางการ มีหัวข้อ ขอบเขตงาน ระยะเวลา การชำระเงิน และทรัพย์สินทางปัญญา” จากนั้นคลิกที่ลูกศร → ตามภาพ Copilot จะร่างเอกสารให้ ดังภาพหากต้องการเป็นไฟล์ Word ให้คลิกที่ “จัดทำเป็นไฟล์ Word“ จากนั้นคลิกที่ … (More options) เลือก “Open in Word” ระบบจะสร้างไฟล์ Word ให้ ดังภาพ ใช้ Copilot กับ “เอกสารที่มีอยู่แล้ว” หากเรามีเอกสารอยู่แล้ว แต่อยากให้ Copilot ช่วย “ย่อ / ขยาย / เปลี่ยนโทน / ทำให้เป็น bullet / สรุปเป็นหัวข้อ” เราสามารถใช้ Copilot ช่วยได้ ยกตัวอย่างเช่น ให้ Copilot สรุปทั้งเอกสาร เปิดเอกสารที่มีอยู่ คลิกไอคอน Copilot ใช้ Prompt เช่น “ช่วยสรุปเนื้อหาเอกสารนี้เป็น bullet 5 ข้อ เน้นส่วนที่เกี่ยวกับราคากับการรับประกัน” ปรับปรุงย่อหน้าให้กระชับ/มืออาชีพขึ้น ไฮไลต์ย่อหน้าที่ต้องการ คลิก Copilot → เลือกคำสั่งเช่น “Rewrite” หรือพิมพ์เองว่า “ทำให้ข้อความนี้กระชับขึ้น แต่ยังคงใจความเดิม”“เปลี่ยนโทนให้เป็นทางการมากขึ้น เหมาะกับส่งลูกค้าธุรกิจ” ให้ Copilot ช่วยจัดโครง / หัวข้อจากเนื้อหายาว ๆ ไฮไลต์หลายย่อหน้า ขอให้ Copilot “จัดหัวข้อย่อยและลำดับเนื้อหาให้ใหม่ ให้เหมือน outline ของคู่มือใช้งาน” เทคนิคเขียน Prompt สำหรับ Word ให้คิด Prompt ตามโครงนี้ (จำง่ายแบบ 4 ส่วน): [บทบาท/ชนิดเอกสาร] + [เนื้อหา/เรื่อง] + [โทนภาษา] + [รูปแบบผลลัพธ์] ตัวอย่าง: “ช่วยร่างจดหมายเชิงธุรกิจถึงลูกค้าเก่าที่ไม่ได้ติดต่อกัน 1 ปี โทนสุภาพแต่เป็นกันเอง สั้นไม่เกิน 1 หน้า A4” “ช่วยแปลงเนื้อหานี้ให้เป็นคู่มือใช้งานแบบทีละขั้นตอน พร้อมหัวข้อย่อยและ bullet point” “สรุปรายงานฉบับนี้ให้ผู้บริหารอ่านภายใน 5 นาที โทนมืออาชีพ แยกเป็นหัวข้อ 1. ภาพรวม 2. ความเสี่ยง 3. ข้อเสนอแนะ” ยิ่งบอกชัดว่า ต้องการอะไร / ให้ใครอ่าน / โทนแบบไหน / ยาวประมาณไหน Copilot ก็ยิ่งตอบได้ใกล้ใจมากขึ้น เพื่อใช้ Copilot ใน Word ได้เต็มประสิทธิภาพ จำเป็นต้องอยู่บนแพลตฟอร์ม Microsoft 365 ที่รองรับ Copilot และอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ hostatom ให้บริการ: Microsoft 365 สำหรับธุรกิจ รวม Outlook, Word, Excel, PowerPoint, Teams และบริการคลาวด์ครบชุด รองรับการใช้งาน Microsoft 365 Copilot (ตามแพ็กเกจและสิทธิ์การใช้งานของ Microsoft) ทีมงานคนไทยช่วยดูแลเรื่องการตั้งค่า, สิทธิ์การใช้งาน, ความปลอดภัย และการใช้งานร่วมกับ Copilot หากองค์กรของท่านเซียนอยากเริ่มใช้ Copilot ให้คุ้มกับค่า License มากที่สุด ทั้งใน Word, Excel และแอปอื่น ๆ 👉 ดูรายละเอียดและแพ็กเกจ Microsoft 365 โดย hostatom ได้ที่https://www.hostatom.com/microsoft-365/
What Our Users Say
tososay.com
ประทับใจในตลอดทุกการใช้งานที่มีมาตลอด กับ Hostatom ครับ
นอกจากใช้บริการพื้นที่และระบบแล้ว ทีมงานยังใส่ใจ เข้าใจ และรับฟัง การทำงานร่วมกันแม้ว่าจะเป็นระบบหน้าบ้าน ทีมงานก็ให้คำแนะนำที่จะใช้งานกับระบบหลังบ้านหรือโฮสต์ได้อย่างดี ขอบคุณที่ให้บริการมาตลอดครับ แนะนำสำหรับมือใหม่ และมืออาชีพ ไว้วางใจ hostatom ได้ครับ
nailekcook.com
ที่นี่บริการดีมากกกกค่ะ 10/10 ไม่หักคะแนนเลย
ช่วยเหลือ 24 ชม.จริงๆ ให้คำแนะนำ แก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้รวดเร็ว พี่ๆ เทคนิค และพี่ๆแอดมิน พูดจาดีมาก ลูกค้าไม่เข้าใจก็พยายามอธิบาย ไม่ผิดหวังเลยค่ะ
guiaespanolentailandia.com
ทีมงานซัพพอร์ตให้บริการดีมากครับ
ผมพึ่งศึกษาการทำเว็บมีปัญหาอะไรทีมซัพพอร์ตของ hostatom ช่วยได้ตลอดเลย ให้คำปรึกษาดี และตอบไวมากเลยครับ
