Our Services

Latest Knowledge Updates

Copilot Prompts ใน Word สร้างเอกสาร

8 December 2025

ยุคนี้เราไม่จำเป็นต้อง “เก่ง Word” หรือ “โปร Excel” ถึงจะเขียนเอกสารสวย ๆ หรือวิเคราะห์ข้อมูลได้ดีอีกต่อไป เพราะ Microsoft Copilot เข้ามาเป็นผู้ช่วยที่ “ฟังภาษาคน” รู้เรื่อง แล้วแปลงเป็นเอกสารหรือการวิเคราะห์ให้เราอัตโนมัติ ใน Word เราสามารถสั่ง Copilot ว่า “ช่วยร่างสัญญาเบื้องต้นสำหรับลูกค้า SME ภาษาเป็นกันเองแต่สุภาพ” ส่วนใน Excel เราสามารถถามว่า “สรุปยอดขายแยกตามภูมิภาคให้หน่อย แล้วทำกราฟเปรียบเทียบให้ดูเข้าใจง่าย” Copilot จะช่วยย่อย แปลง และจัดรูปแบบให้ออกมาเป็นตาราง รายงาน หรือกราฟให้เลย โดยไม่ต้องเขียนสูตรยาว ๆ หรือสร้าง Pivot เองทุกครั้งอีกแล้ว คู่มือนี้จะสอน ทีละขั้น ตั้งแต่การเปิด Copilot ใน Word และ Excel, การเขียน Prompt แบบภาษาคน, จนถึงการตรวจและปรับผลลัพธ์ให้ตรงกับงานจริง เหมาะกับคนที่ “ไม่เคยใช้มาก่อน” แต่ต้องการเริ่มใช้ให้เป็นในองค์กร ส่วนที่ 1 – ก่อนเริ่มใช้ Copilot ใน Word และ Excel สิ่งที่ต้องมี ก่อนใช้ Copilot ต้องเช็ก 3 อย่างนี้ก่อน: มีสิทธิ์ใช้งาน Copilot ต้องเป็น Microsoft 365 แพลนที่มี Copilot หรือ Copilot for Microsoft 365 / Copilot Pro ส่วนใหญ่จะเป็นแพ็กเกจสาย Business / Enterprise ที่เปิดใช้ Copilot เพิ่มเติม ใช้ Word / Excel เวอร์ชันที่รองรับ Copilot แนะนำใช้ Microsoft 365 Apps เวอร์ชันล่าสุด (เดสก์ท็อป) หรือ Word/Excel for the web ควรอัปเดตโปรแกรมให้เป็นเวอร์ชันใหม่เสมอ เปิดการใช้งาน Connected Experiences / AI Features บางเคสต้องเปิดการใช้บริการที่ “วิเคราะห์เนื้อหา” เพื่อให้ Copilot อ่านเอกสารแล้วช่วยเราได้เต็มที่ ถ้าใช้องค์กรใหญ่ แนะนำให้เช็กกับ IT / Admin ว่าบัญชีของเรามีสิทธิ์ใช้ Copilot in Word/Excel แล้วหรือยัง ส่วนที่ 2 – ใช้ Copilot Prompts ใน Word: ให้ AI ร่าง แก้ และสรุปเอกสาร Copilot ใน Word อยู่ตรงไหน? ใน Word รุ่นใหม่ที่มี Copilot: เมื่อเปิดเอกสารใหม่/ว่าง ๆ จะเห็นกล่อง Draft with Copilot หรือ (โลโก้เล็ก ๆ บนหน้าเอกสาร หรือใน Ribbon แท็บ Home) หรือในแถบด้านบน (Ribbon) จะมีปุ่ม Copilot / Draft with Copilot ถ้าเห็นไอคอนนี้ แปลว่าพร้อมใช้งานแล้ว สั่งให้ Copilot “ร่างเอกสารใหม่” จากภาษาธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น “อยากให้ Copilot ร่างเอกสารจาก 0 เช่น ใบเสนอราคา, รายงานประชุม, แผนโครงการ“ ขั้นตอนการทำ มีดังนี้: Login เข้าบัญชี Microsoft 365 ของคุณ โดยพิมพ URL: office.com คลิก “Apps” → “Word” คลิกที่ “Create blank document“ คลิกที่ปุ่ม “Copilot” จะมีช่องให้พิมพ์คำสั่ง (Prompt) ตัวอย่าง Prompt: “ช่วยร่างรายงานการประชุมสำหรับทีมการตลาด สรุปเป้าหมายประจำไตรมาส โทนทางการ แต่อ่านง่าย แบ่งหัวข้อเป็น 1. วัตถุประสงค์ 2. แผนงาน 3. ตัวชี้วัดสำคัญ” “สร้างร่างสัญญาว่าจ้างฟรีแลนซ์ด้านออกแบบกราฟิก ภาษาไทย ทางการ มีหัวข้อ ขอบเขตงาน ระยะเวลา การชำระเงิน และทรัพย์สินทางปัญญา” จากนั้นคลิกที่ลูกศร → ตามภาพ Copilot จะร่างเอกสารให้ ดังภาพหากต้องการเป็นไฟล์ Word ให้คลิกที่ “จัดทำเป็นไฟล์ Word“ จากนั้นคลิกที่ … (More options) เลือก “Open in Word” ระบบจะสร้างไฟล์ Word ให้ ดังภาพ ใช้ Copilot กับ “เอกสารที่มีอยู่แล้ว” หากเรามีเอกสารอยู่แล้ว แต่อยากให้ Copilot ช่วย “ย่อ / ขยาย / เปลี่ยนโทน / ทำให้เป็น bullet / สรุปเป็นหัวข้อ” เราสามารถใช้ Copilot ช่วยได้ ยกตัวอย่างเช่น ให้ Copilot สรุปทั้งเอกสาร เปิดเอกสารที่มีอยู่ คลิกไอคอน Copilot ใช้ Prompt เช่น “ช่วยสรุปเนื้อหาเอกสารนี้เป็น bullet 5 ข้อ เน้นส่วนที่เกี่ยวกับราคากับการรับประกัน” ปรับปรุงย่อหน้าให้กระชับ/มืออาชีพขึ้น ไฮไลต์ย่อหน้าที่ต้องการ คลิก Copilot → เลือกคำสั่งเช่น “Rewrite” หรือพิมพ์เองว่า “ทำให้ข้อความนี้กระชับขึ้น แต่ยังคงใจความเดิม”“เปลี่ยนโทนให้เป็นทางการมากขึ้น เหมาะกับส่งลูกค้าธุรกิจ” ให้ Copilot ช่วยจัดโครง / หัวข้อจากเนื้อหายาว ๆ ไฮไลต์หลายย่อหน้า ขอให้ Copilot “จัดหัวข้อย่อยและลำดับเนื้อหาให้ใหม่ ให้เหมือน outline ของคู่มือใช้งาน” เทคนิคเขียน Prompt สำหรับ Word ให้คิด Prompt ตามโครงนี้ (จำง่ายแบบ 4 ส่วน): [บทบาท/ชนิดเอกสาร] + [เนื้อหา/เรื่อง] + [โทนภาษา] + [รูปแบบผลลัพธ์] ตัวอย่าง: “ช่วยร่างจดหมายเชิงธุรกิจถึงลูกค้าเก่าที่ไม่ได้ติดต่อกัน 1 ปี โทนสุภาพแต่เป็นกันเอง สั้นไม่เกิน 1 หน้า A4” “ช่วยแปลงเนื้อหานี้ให้เป็นคู่มือใช้งานแบบทีละขั้นตอน พร้อมหัวข้อย่อยและ bullet point” “สรุปรายงานฉบับนี้ให้ผู้บริหารอ่านภายใน 5 นาที โทนมืออาชีพ แยกเป็นหัวข้อ 1. ภาพรวม 2. ความเสี่ยง 3. ข้อเสนอแนะ” ยิ่งบอกชัดว่า ต้องการอะไร / ให้ใครอ่าน / โทนแบบไหน / ยาวประมาณไหน Copilot ก็ยิ่งตอบได้ใกล้ใจมากขึ้น เพื่อใช้ Copilot ใน Word ได้เต็มประสิทธิภาพ จำเป็นต้องอยู่บนแพลตฟอร์ม Microsoft 365 ที่รองรับ Copilot และอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ hostatom ให้บริการ: Microsoft 365 สำหรับธุรกิจ รวม Outlook, Word, Excel, PowerPoint, Teams และบริการคลาวด์ครบชุด รองรับการใช้งาน Microsoft 365 Copilot (ตามแพ็กเกจและสิทธิ์การใช้งานของ Microsoft) ทีมงานคนไทยช่วยดูแลเรื่องการตั้งค่า, สิทธิ์การใช้งาน, ความปลอดภัย และการใช้งานร่วมกับ Copilot หากองค์กรของท่านเซียนอยากเริ่มใช้ Copilot ให้คุ้มกับค่า License มากที่สุด ทั้งใน Word, Excel และแอปอื่น ๆ 👉 ดูรายละเอียดและแพ็กเกจ Microsoft 365 โดย hostatom ได้ที่https://www.hostatom.com/microsoft-365/

Read More »

ข้อควรรู้ก่อน Restore ข้อมูล – ต้องตรวจสอบอะไรบ้างก่อนลงมือ?

8 December 2025

การ Restore ข้อมูลเป็นขั้นตอนสำคัญในการกู้คืนเว็บไซต์หรือระบบให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง แต่หากดำเนินการโดยไม่ตรวจสอบความพร้อม อาจเกิดความเสี่ยง เช่น ข้อมูลหายเพิ่ม เว็บเปิดไม่ได้ หรือระบบทำงานผิดปกติ บทความจึงได้นี้รวบรวม “สิ่งที่ต้องตรวจสอบก่อนเริ่ม Restore” เพื่อช่วยลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาส Restore สำเร็จ 100% เหมาะทั้งสำหรับทั้งผู้ใช้งานทั่วไป เจ้าของเว็บไซต์ และผู้ดูแลระบบ ทำไมการตรวจสอบก่อน Restore ถึงสำคัญ? การ Restore คือการนำไฟล์และฐานข้อมูลจาก Backup มาเขียนทับข้อมูลเดิมบนระบบ หากไฟล์ไม่สมบูรณ์หรือเซิร์ฟเวอร์ไม่รองรับเวอร์ชันเดิม อาจทำให้เว็บไซต์เกิดปัญหา เช่น ไม่สามารถเปิดเว็บได้ตามปกติ ขึ้น Error 403, 404, 500 Database เชื่อมต่อไม่ได้ ข้อมูลใหม่ ๆ หายไปหลัง Restore Plugins / Extensions ไม่รองรับเวอร์ชันของเซิร์ฟเวอร์ ดังนั้นทุกครั้งก่อน Restore ควรตรวจสอบตามรายการด้านล่างเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น สิ่งที่ต้องตรวจสอบก่อน Restore ข้อมูล 1. ตรวจสอบความสมบูรณ์ของไฟล์ Backup (Verify Backup) ก่อนที่จะ Restore เราต้องมั่นใจว่าไฟล์ Backup เหล่านั้นยังไม่เสีย และสามารถนำมาใช้ได้จริง เพราะหาก Restore ด้วยไฟล์ที่เสียหาย อาจทำให้เกิดปัญหาหนักกว่าเดิม เช่น เว็บพังทั้งระบบ หรือฐานข้อมูลไม่สมบูรณ์ สิ่งที่ควรตรวจสอบ แตกไฟล์ .zip / .tar.gz ได้ครบ และไม่มี error ไฟล์ .sql เปิดดูได้และไม่มีตัวอักษรผิดปกติ โฟลเดอร์โครงสร้างครบ เช่น public_html, domains, email ผ่านการ Test Restore ในพื้นที่ทดสอบแล้ว 2. เช็กวันที่และเวอร์ชันของไฟล์ Backup วันที่ Backup เป็นตัวกำหนดว่าหลัง Restore แล้วข้อมูลอะไรจะหายไปบ้าง เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังวัน Backup จะไม่ถูกเก็บไว้ ควรเช็กว่า… ไฟล์ Backup ถูกสร้างวันไหน? ช่วงนั้นเว็บมีปัญหาหรือไม่? ตอนนั้นมีการอัปเดตปลั๊กอิน ธีม หรือ CMS อยู่หรือเปล่า? Backup เป็น full backup หรือ partial backup? 3. ตรวจสอบ PHP Version และ Environment แม้ไฟล์ Backup จะดี แต่ถ้า Restore ไปยังสภาพแวดล้อมใหม่ที่เวอร์ชันต่างจากเดิม อาจทำให้ไม่สามารถเปิดเว็บนั้นได้ สิ่งที่ควรตรวจ PHP version รองรับ CMS หรือปลั๊กอินเดิมหรือไม่? MySQL/MariaDB version ต้องไม่เก่าหรือใหม่เกินไป Extensions ที่เว็บต้องใช้ เช่น mbstring, curl, gd, intl Apache/Nginx rules เช่น .htaccess จาก Backup เก่ามี syntax ที่เวอร์ชันใหม่ไม่รองรับ 4. เช็กพื้นที่ว่าง (Disk Space) การ Restore จำเป็นต้องใช้พื้นที่มากกว่าขนาดไฟล์ Backup เนื่องจากต้องแตกไฟล์ + สร้างฐานข้อมูล + สร้างโฟลเดอร์ใหม่ หากเป็นไปได้ ควรมีพื้นที่อย่างน้อย 2–3 เท่า ของขนาดไฟล์ Backup เพราะหากพื้นที่ไม่พอ อาจทำให้เกิดปัญหาอย่าง… Restore ค้าง ไฟล์บางส่วนไม่ถูกเขียน เว็บล่มเพราะเขียนข้อมูลไม่ครบ ระบบทำงานผิดพลาด (log เขียนไม่ได้) 5. สำรองข้อมูลปัจจุบันก่อน Restore การ Restore ข้อมูลทั้งเว็บโดยที่ไม่มี Backup ปัจจุบันนับว่ามีความเสี่ยงสูงมาก โดยการสำรองข้อมูลก่อน Restore สักครั้ง เหมือนเป็นการเพิ่มหลักประกันให้เว็บของเราที่หาก Restore แล้วเกิดปัญหา จะได้ย้อนกลับมาจุดที่ปลอดภัยได้ ข้อมูลที่ควร Backup ไฟล์ทั้งหมด Database ทั้งหมด Email ของโดเมน (หากจำเป็น) 6. ตรวจสอบโครงสร้างโฟลเดอร์ว่าเหมือนระบบเดิม บางครั้งการ Backup มาจากระบบคนละเซิร์ฟเวอร์ หรือคนละ Control Panel อาจทำให้มีโครงสร้างบางอย่างไม่เหมือนกัน เช่น public_html อยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมือนกัน ไฟล์ config อยู่ในโฟลเดอร์อื่น Database ถูกเก็บไว้หลายไฟล์ในหลาย path ชื่อ domain หรือ user แตกต่างกันในแต่ละ Control Panel หาก Restore ลงผิดโครงสร้าง → เว็บจะโหลดผิด path ทันที 7. ตรวจสอบสิทธิ์ไฟล์ (File Permission) สิทธิ์ไฟล์ที่จะมีผลต่อการเข้าถึงไฟล์ของ Web Server ว่าสามารถอ่าน/เขียน/รันได้หรือไม่ ค่าพื้นฐานที่แนะนำ โฟลเดอร์ – 755 ไฟล์ – 644 ไฟล์สำคัญ เช่น wp-config.php – อาจตั้งเป็น 400–440 หากกำหนด permission ผิด เว็บขึ้น Forbidden 403 เว็บโหลดไม่ขึ้น เว็บแก้ไขไฟล์ไม่ได้ Hacker ใช้ช่องโหว่เข้าระบบได้ง่ายขึ้นหากตั้งเป็น 777 8. ปิดระบบอัตโนมัติและตั้งสภาพแวดล้อมให้อยู่ในโหมดปลอดภัย เพื่อลดการเกิด Error ขณะ Restore ควรปิดฟีเจอร์ที่เปลี่ยนแปลงข้อมูลแบบอัตโนมัติ เช่น Cronjobs ที่เขียน Database ปลั๊กอิน Cache เช่น LiteSpeed Cache, WP Super Cache ระบบ CDNs ที่ใช้ไฟล์แคช Maintenance Mode หรือ Script ที่ประมวลผลอัตโนมัติ 9. เตรียมข้อมูลการเชื่อมต่อฐานข้อมูลให้พร้อม หลัง Restore ข้อมูล อาจต้องมีการเข้าไปแก้ไฟล์ config เพื่อชี้ไปยังฐานข้อมูลใหม่ เช่น DB Name DB User Password Host (localhost หรือ IP) Prefix ของตาราง เช่น wp_, joomla_ หาก Restore ข้ามระบบอาจทำให้ Path ไม่ตรงกัน User/Domain mismatch Database structure ไม่รองรับ Web Server rules ไม่ตรงกัน 10. ตรวจสอบว่าไฟล์ Backup มาจากระบบเดียวกัน สาเหตุอันดับต้น ๆ ที่ทำให้การ Restore ล้มเหลว เนื่องจากแต่ละระบบมีการใช้โครงสร้างที่ไม่เหมือนกัน โดยควรตรวจสอบว่าไฟล์ Backup ที่สร้างนั้นมาจากไหน เช่น DirectAdmin → ใช้ Restore ใน DirectAdmin เท่านั้น cPanel → ใช้ Restore ใน cPanel เท่านั้น WordPress Plugin A → Restore ด้วย Plugin A เท่านั้น โดยปัญหาที่มักเกิด คือ สคริปต์มองหา path ที่ไม่ตรงกัน Database ไม่รองรับโครงสร้างเดิม หรือ ไฟล์ config ใช้ path ของเครื่องเก่า การ Restore ไม่ใช่แค่การอัปโหลดไฟล์ทับเข้าไปเท่านั้น แต่ต้องตรวจสอบหลายอย่างเพื่อให้เว็บกลับมาทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ยิ่งเว็บไซต์เป็นร้านค้าออนไลน์หรือเว็บสำคัญ ยิ่งต้องตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อลดความเสี่ยงสูงสุด หากคุณกำลังมองหาเว็บโฮสติ้งที่ใช้งานง่ายและปลอดภัย สามารถดูรายละเอียดแพ็กเกจ Web Hosting ของเราได้ที่👉 https://www.hostatom.com/web-hosting

Read More »

การแก้ปัญหาและป้องกันไม่ให้เว็บไซต์ WordPress ถูกแฮ็ก

8 December 2025

WordPress เป็นระบบจัดการเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในโลก ใช้งานอยู่บนเว็บไซต์มากกว่า 40% ของเว็บทั้งหมด ทำให้กลายเป็นเป้าหมายสำคัญของเหล่าแฮ็กเกอร์โดยตรง เมื่อเว็บไซต์ถูกแฮ็ก ไม่ได้กระทบแค่หน้าตาเว็บ แต่ยังอาจส่งผลต่อรายได้ ความน่าเชื่อถือ อันดับ SEO และข้อมูลของลูกค้าโดยตรง ทุกวันนี้มีสถิติว่ามีเว็บไซต์จำนวนมากถูกใส่มัลแวร์หรือถูกใช้เป็นเว็บหลอกลวง (Phishing) และถูก Google ขึ้นคำเตือนหรือแบนออกจากผลการค้นหาวันละหลายพันเว็บไซต์ ข่าวดีคือ เจ้าของเว็บไซต์สามารถลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้มาก หากเข้าใจวิธี แก้ปัญหาเมื่อถูกแฮ็ก และ ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำ อย่างเป็นระบบ โดยบทความนี้จะแบ่งหัวข้อออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ วิธีรับมือและแก้ปัญหาเมื่อ WordPress ถูกแฮ็ก วิธีป้องกันล่วงหน้าไม่ให้ WordPress ถูกแฮ็กซ้ำอีก ทำไมเว็บไซต์ WordPress ถึงตกเป็นเป้าโจมตีอยู่บ่อย ๆ? สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ WordPress ถูกแฮ็กอยู่บ่อย ๆ มักมาจาก… ความนิยมสูง – เมื่อ WordPress ถูกใช้มาก แฮ็กเกอร์ก็ยิ่งโฟกัสค้นหาช่องโหว่มากขึ้น ปลั๊กอินและธีมจำนวนมาก – มากกว่า 60,000 ปลั๊กอินบนคลัง WordPress และจากข้อมูลบางรายงานพบว่า มากกว่า 50% ของช่องโหว่เกี่ยวข้องกับปลั๊กอินที่มีปัญหาหรือไม่ได้อัปเดต เว็บไซต์ไม่ได้อัปเดตสม่ำเสมอ – Core, ธีม และปลั๊กอินที่เก่า เปิดช่องให้ใช้ช่องโหว่ที่รู้กันอยู่แล้วเจาะได้ง่าย รหัสผ่านอ่อนแอ หรือใช้ซ้ำหลายที่ – เป็นหนึ่งในวิธีโจมตีที่เจอบ่อยที่สุด โฮสติ้งหรือเซิร์ฟเวอร์ไม่มีการ Harden ความปลอดภัย – เปิดช่องให้โดนโจมตีทั้งเครื่อง (Server-side attacks) สัญญาณที่บอกว่าเว็บไซต์ WordPress อาจถูกแฮ็กแล้ว ถ้าเริ่มเจออาการต่อไปนี้ มีโอกาสสูงว่าเว็บไซต์ของคุณกำลังมีปัญหาด้านความปลอดภัย หน้าเว็บไซต์ถูกเปลี่ยน เช่น หน้าแรกมีข้อความที่ไม่รู้จัก หรือมีโฆษณา/ลิงก์แปลก ๆ ถูก Redirect ไปยังเว็บอื่นโดยที่ไม่ได้ตั้งไว้ มี Pop-up แปลก ๆ หรือมีการโหลดสคริปต์จากโดเมนที่ไม่คุ้นเคย พบ User แอดมินที่ไม่รู้จัก หรือสิทธิ์ผู้ใช้บางคนถูกปรับเป็น Admin เอง จู่ ๆ ทราฟฟิกจากประเทศแปลก ๆ พุ่งสูงผิดปกติ Google ขึ้น Warning ว่าเว็บอาจมีมัลแวร์ หรือเว็บหายจากผลการค้นหาอย่างรวดเร็ว โฮสติ้งแจ้งเตือนว่าไฟล์มีมัลแวร์ หรือมีทราฟฟิกผิดปกติ / ใช้ทรัพยากรสูงมากผิดปกติ หากพบสัญญาณเหล่านี้ 1-2 ข้อขึ้นไป ให้คิดว่าเว็บไซต์ของคุณอาจกำลังถูกแฮ็ก และเริ่มตรวจสอบตามหัวข้อต่อไปในทันที สิ่งที่ควรทำเมื่อรู้ว่าเว็บไซต์ WordPress ถูกแฮ็กแล้ว ถ้าพบว่าเว็บไซต์ถูกแฮ็กแล้ว ให้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้ เพื่อลดความเสียหายและทำให้การกู้คืนเป็นระบบมากขึ้น 1. ตั้งสติและเก็บข้อมูลก่อน ถ่ายภาพหน้าจอ (Screenshot) หน้าเว็บที่ผิดปกติ จดเวลาที่พบปัญหา และสิ่งที่ทำล่าสุดก่อนหน้านั้น (เพิ่งอัปเดตปลั๊กอิน / ลงธีมใหม่ / เปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์ ฯลฯ) ถ้าโฮสติ้งมี Log ให้เก็บ Access Log / Error Log ช่วงเวลานั้นไว้ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้วิเคราะห์ย้อนหลังได้ง่ายขึ้น และช่วยให้ทีมเทคนิคหาต้นเหตุได้เร็วขึ้น 2. ปิดเว็บชั่วคราว หรือเปิดหน้า Maintenance ใช้ปลั๊กอิน Maintenance / Coming Soon หรือใช้การตั้งค่าจากโฮสติ้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้และ Google เจอหน้าเว็บที่มีมัลแวร์ เพื่อลดความเสียหายต่อภาพลักษณ์และ SEO 3. เปลี่ยนรหัสผ่านทุกบัญชีสำคัญ เน้นว่า “ทุกบัญชีที่เชื่อมกับเว็บนี้” ไม่ใช่เฉพาะ WordPress เท่านั้น WordPress Admin / Editor ทุก User บัญชีโฮสติ้ง (cPanel / DirectAdmin / Plesk ฯลฯ) FTP / SFTP / SSH ฐานข้อมูล (Database user) อีเมลโดเมน เช่น admin@yourdomain.com ถ้าใช้กับเว็บ ควรใช้รหัสผ่านแบบสุ่มที่ยาว และใช้ Password Manager ช่วย 4. ตรวจสอบและลบผู้ใช้ (Users) ที่ไม่รู้จัก เข้าไปที่ Users ใน WordPress ลบผู้ใช้ที่ไม่รู้จักทันที โดยเฉพาะ Role เป็น Administrator ตรวจสอบว่าไม่มีการเปลี่ยน Role ให้ผู้ใช้ที่ไม่ควรมีสิทธิ์สูง 5. สแกนไฟล์ด้วยปลั๊กอินความปลอดภัย ติดตั้งและรันปลั๊กอินด้านความปลอดภัยเพื่อสแกนมัลแวร์ เช่น Wordfence Security Sucuri Security Solid Security (เดิม iThemes Security) หรือ All In One WP Security & Firewall ให้สแกนทั้งไฟล์ Core, ปลั๊กอิน, ธีม และฐานข้อมูล หากพบไฟล์ต้องสงสัยให้พิจารณาลบ หรือแทนที่ด้วยไฟล์จากซอร์สเดิมที่ปลอดภัย 6. กู้คืนจาก Backup ที่ปลอดภัย ถ้าเว็บไซต์มีระบบสำรองข้อมูล จะช่วยได้มาก เลือก Backup จากไฟล์ก่อนช่วงที่เริ่มมีปัญหา (เช็คให้แน่ใจว่าไฟล์ Backup นั้นยังไม่โดนมัลแวร์) กู้คืนทั้งไฟล์และฐานข้อมูล หลัง Restore แล้ว ให้ อัปเดตทุกอย่างให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดทันที 7. อัปเดต WordPress, ปลั๊กอิน และธีมทั้งหมด หลังจากที่เว็บกลับมาทำงานได้แล้ว… อัปเดต WordPress Core เป็นเวอร์ชันล่าสุด อัปเดตธีมและปลั๊กอินทั้งหมด ลบปลั๊กอินและธีมที่ไม่ได้ใช้งานออกไปเพื่อลดจุดเสี่ยง (มีสถิติว่าช่องโหว่จำนวนมากมาจากปลั๊กอินที่ล้าสมัยหรือไม่ได้ดูแลแล้ว) 8. ตรวจสอบไฟล์สำคัญด้วยตัวเองอีกครั้ง โดยเฉพาะไฟล์เหล่านี้… wp-config.php .htaccess ไฟล์ในโฟลเดอร์ /wp-content/uploads/ ที่เป็น .php (ควรไม่มีในโฟลเดอร์นี้ตามปกติ) หากพบโค้ดแปลก ๆ เช่น base64, eval, หรือโค้ดที่ยาวผิดปกติในจุดที่ไม่ควรมี ให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเพื่อช่วยเช็กเพิ่มเติม สิ่งที่ควรทำเพื่อป้องกันไม่ให้เว็บไซต์ WordPress ถูกแฮ็กซ้ำ หลังจากกู้เว็บกลับมาได้แล้ว สิ่งสำคัญคือ ต้องทำให้ไม่ให้เหตุการณ์เดิมเกิดขึ้นอีก นี่คือแนวทาง Hardening เว็บไซต์ให้แข็งแรงขึ้น 1. อัปเดต WordPress, ธีม และปลั๊กอินสม่ำเสมอ เปิดใช้ Auto Update สำหรับปลั๊กอินและธีมที่ไว้ใจได้ ตรวจสอบหน้า Updates อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หลีกเลี่ยงปลั๊กอิน/ธีมที่ไม่มีอัปเดตมานานหลายปี 2. เสริมความแข็งแรงให้การล็อกอิน (Login Security) ใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อน และไม่ใช้ซ้ำกับระบบอื่น เปิดใช้ Two-Factor Authentication (2FA) สำหรับแอดมิน และบัญชีสำคัญ จำกัดจำนวนครั้งในการล็อกอินผิด (Limit Login Attempts) เปิดใช้ CAPTCHA หรือ reCAPTCHA บนหน้า Login เปลี่ยน URL การล็อกอินจาก /wp-login.php หรือ /wp-admin เป็น URL ที่เดายากขึ้น เช่น ผ่านปลั๊กอินความปลอดภัย 3. ติดตั้งปลั๊กอินด้านความปลอดภัย (Security Plugin) ปลั๊กอินความปลอดภัยที่ดีควรช่วย… สแกนมัลแวร์ และไฟล์ต้องสงสัย บล็อก Brute-force / Login Attack เพิ่ม Firewall ระดับ Application (WAF) ทำ Hardening จุดสำคัญ เช่น ปิดการแก้ไขไฟล์จาก wp-admin, ปิด Directory Listing, ปิด XML-RPC ฯลฯ ควรเลือกใช้จากผู้พัฒนาที่น่าเชื่อถือ มีรีวิวดี และอัปเดตสม่ำเสมอ 4. ตั้งค่าระบบสำรองข้อมูล (Backup) อัตโนมัติ ตั้งให้ Backup ทั้งไฟล์และฐานข้อมูลเป็นประจำ เก็บ Backup ไว้นอกเซิร์ฟเวอร์หลัก เช่น Cloud Storage (S3, Google Drive ฯลฯ) ทดสอบการ Restore เป็นระยะ เพื่อให้มั่นใจว่า Backup ใช้งานได้จริง ไม่เสียหาย 5. จัดการสิทธิ์ผู้ใช้ (User Roles & Permissions) ใช้หลัก Least Privilege – ใครที่ทำแค่โพสต์บทความ ให้สิทธิ์เป็น Author/Editor ไม่จำเป็นต้องเป็น Administrator ปิดหรือเปลี่ยนรหัสผ่านบัญชีที่ไม่ใช้งาน หลีกเลี่ยงการแชร์ User เดียวกันหลายคน (ทำ Log และตรวจสอบภายหลังยาก) 6. ลดความเสี่ยงจากปลั๊กอินและธีม ติดตั้งเฉพาะปลั๊กอิน/ธีมที่จำเป็นต่อธุรกิจจริง ๆ หลีกเลี่ยง Nulled Theme / Nulled Plugin อย่างเด็ดขาด เพราะมักมีโค้ดแอบแฝง ตรวจสอบประวัติผู้พัฒนา รีวิว และความถี่ในการอัปเดตก่อนติดตั้ง ลบปลั๊กอินหรือธีมที่ไม่ได้ใช้ออกจากระบบ ไม่ใช่แค่ Deactivate 7. เพิ่มความปลอดภัยในระดับเซิร์ฟเวอร์และไฟล์ ใช้โฮสติ้งที่มีการดูแลความปลอดภัยเชิงรุก (Firewall, Malware Scan, Isolation ระหว่างบัญชี) เปิดใช้ SSL/HTTPS ให้ทั้งเว็บไซต์ ไม่เฉพาะหน้า Login ปิดการแก้ไขไฟล์ผ่าน wp-admin (DISALLOW_FILE_EDIT) จำกัดสิทธิ์ไฟล์และโฟลเดอร์ไม่ให้เขียนได้เกินความจำเป็น ปิด XML-RPC หากไม่ใช้งาน เพราะเป็นช่องทางโจมตี Brute-force ได้บ่อยครั้ง 8. ตรวจความปลอดภัยเว็บไซต์เป็นประจำ ตรวจ Log การล็อกอิน และกิจกรรมในเว็บ ตรวจสอบว่าไม่มีปลั๊กอิน/ธีมที่ขึ้น “มีช่องโหว่” จากผู้พัฒนา ใช้บริการ Scanner ภายนอกช่วยตรวจมัลแวร์และ Blacklist ของโดเมนเป็นระยะ ตัวอย่างแผนดูแลความปลอดภัยเว็บไซต์ WordPress ทุกสัปดาห์ เช็กและอัปเดต WordPress, ธีม, ปลั๊กอิน ดู Report จากปลั๊กอินความปลอดภัย / Firewall ทุกเดือน ทดสอบ Restore จาก Backup อย่างน้อย 1 ครั้ง ตรวจ Users และ Role ว่ามีบัญชีแปลก ๆ หรือไม่ ตรวจ Error Log / Access Log ช่วงทราฟฟิกพุ่งผิดปกติ ทุกไตรมาส เช็กปลั๊กอินและธีม ถอนการติดตั้งตัวที่ไม่จำเป็นออก ตรวจสอบแผนทรัพยากรของโฮสติ้ง และการ Harden ระบบด้านความปลอดภัยร่วมกับผู้ให้บริการ อย่างไรก็ตาม ไม่มีระบบไหนที่ปลอดภัย 100% แม้แต่เว็บไซต์องค์กรขนาดใหญ่หรือหน่วยงานรัฐก็ยังเคยถูกแฮ็กมาแล้ว สิ่งที่เจ้าของเว็บไซต์ควรโฟกัสคือ ลดโอกาสถูกโจมตีด้วยการอัปเดตและเสริมความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ เตรียมแผนสำรอง (Backup + วิธี Restore) ให้พร้อม มี Checklist การรับมือเมื่อเกิดเหตุจริง เพื่อลดความเสียหายให้น้อยที่สุด หรือหากคุณรู้สึกว่าไม่มีเวลาหรือความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคมากพอ การให้ทีมผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจสอบและตั้งค่าความปลอดภัย WordPress ให้เหมาะกับเว็บไซต์ของคุณ ก็เป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากับภาพลักษณ์และรายได้ระยะยาวของธุรกิจเช่นกัน หากคุณกำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยตรวจสอบความปลอดภัยเว็บไซต์ WordPress ของคุณ สามารถดูรายละเอียดแพ็กเกจ WordPress Hosting ของเราได้ที่👉 https://www.hostatom.com/wordpress-hosting

Read More »

What Our Users Say

tososay.com

ประทับใจในตลอดทุกการใช้งานที่มีมาตลอด กับ Hostatom ครับ

นอกจากใช้บริการพื้นที่และระบบแล้ว ทีมงานยังใส่ใจ เข้าใจ และรับฟัง การทำงานร่วมกันแม้ว่าจะเป็นระบบหน้าบ้าน ทีมงานก็ให้คำแนะนำที่จะใช้งานกับระบบหลังบ้านหรือโฮสต์ได้อย่างดี ขอบคุณที่ให้บริการมาตลอดครับ แนะนำสำหรับมือใหม่ และมืออาชีพ ไว้วางใจ hostatom ได้ครับ

nailekcook.com

ที่นี่บริการดีมากกกกค่ะ 10/10 ไม่หักคะแนนเลย

ช่วยเหลือ 24 ชม.จริงๆ ให้คำแนะนำ แก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้รวดเร็ว พี่ๆ เทคนิค และพี่ๆแอดมิน พูดจาดีมาก ลูกค้าไม่เข้าใจก็พยายามอธิบาย ไม่ผิดหวังเลยค่ะ

guiaespanolentailandia.com

ทีมงานซัพพอร์ตให้บริการดีมากครับ

ผมพึ่งศึกษาการทำเว็บมีปัญหาอะไรทีมซัพพอร์ตของ hostatom ช่วยได้ตลอดเลย ให้คำปรึกษาดี และตอบไวมากเลยครับ