Our Services

Latest Knowledge Updates

การใช้งาน Google Looker Studio อย่างง่ายจาก Google Sheet

12 December 2025

ถ้าคุณมีข้อมูลอยู่ใน Google Sheet อยู่แล้ว เช่น ยอดขายรายวัน, รายชื่อลูกค้า, ข้อมูลแคมเปญ หรือสต๊อกสินค้า แต่ทุกครั้งที่ต้องทำรายงานก็ต้องมานั่งจัดตาราง, ทำกราฟใน Excel/Sheets ใหม่ทุกเดือน… จริง ๆ คุณสามารถใช้ Google Looker Studio ดึงข้อมูลจาก Google Sheet มาทำเป็น รายงาน/แดชบอร์ดสวย ๆ ดูง่าย อัปเดตอัตโนมัติ ได้เลย ไม่ต้องก็อป – วางซ้ำ ๆ แค่คนในทีมอัปเดต Sheet ตัวเดิม รายงานใน Looker Studio ก็อัปเดตตาม คู่มือนี้จะพาแบบ “จับมือทำ” ตั้งแต่ 0:เตรียม Google Sheet ให้พร้อม → เชื่อมต่อกับ Looker Studio → วางกราฟ/ตาราง → ทำตัวกรอง → แชร์ให้คนอื่นดูได้ อ่านจบแล้วทำเป็นแน่นอน แม้ไม่เคยใช้มาก่อนเลย ภาพรวมก่อนเริ่ม: Sheet เป็นที่เก็บข้อมูล, Looker เป็นหน้ารายงาน ขอให้มองแบบง่าย ๆ ว่า: Google Sheet = ที่เก็บ “ข้อมูลดิบ” เช่น ตารางยอดขาย ตารางลูกค้า Google Looker Studio = “หน้ารายงาน/แดชบอร์ด” ที่ดึงข้อมูลจากชีตมาทำกราฟ – ตัวเลข – ตารางให้ดูสบายตา ลำดับการทำงานคือ เตรียมตารางใน Google Sheet ให้เรียบร้อย → สร้าง Report ใน Looker Studio → เชื่อม Data Source เป็น Google Sheet → วางกราฟ/ตาราง → แชร์ให้ทีมดู ส่วนที่ 1 – เตรียม Google Sheet ให้พร้อมก่อนเชื่อม โครงสร้างตารางที่ดีควรเป็นแบบนี้ แถวที่ 1 เป็นหัวคอลัมน์ ไม่มีหัวตารางซ้ำตรงกลาง อย่าใส่หัวคอลัมน์ย้ำที่แถว 20, 40 อีกรอบ ทั้งตารางควรมี header แค่บรรทัดแรก ไม่ใช้ Merge เซลล์ในส่วนข้อมูล หลีกเลี่ยงการ Merge เซลล์ในแถวข้อมูล เพราะ Looker Studio จะอ่านลำบาก ประเภทข้อมูลถูกต้อง คอลัมน์วันที่ → ตั้งเป็น Date จริง ๆ (ไม่ใช่ Text) ตัวเลข → เป็น Number (ไม่ใช่มีตัวอักษรปน เช่น “1,500 บาท”) ถ้ามีคำว่า “บาท” อยากให้เก็บแค่ตัวเลขใน Sheet แล้วไปใส่รูปแบบ (format) ในรายงานอีกที ส่วนที่ 2 – สร้างรายงานใหม่ใน Looker Studio และเชื่อมกับ Google Sheet เข้า Looker Studio โดย เปิดเบราว์เซอร์ (แนะนำ Chrome) พิมพ์ URL: https://lookerstudio.google.com/ ที่หน้า Home ให้เลือก “Blank report” ทันทีที่สร้าง Blank report ใหม่ Looker Studio จะถามว่า:“Add data to report” (เพิ่มข้อมูลอะไรเข้ารายงาน) เลือก “Google Sheets” จากรายการ เลือกไฟล์ที่เก็บข้อมูล ในบทความนี้ขอเลือกไฟล์ตัวอย่างที่สร้างไว้ชื่อ “Example-sales-data“ เลือก Sheet/Tab ที่เป็นตารางหลักที่เตรียมไว้ ในบทความนี้ขอเลือก sheet ตัวอย่างที่สร้างไว้ชื่อ “Sheet1“ ติ๊กตัวเลือก: Use first row as headers (ใช้แถวแรกเป็นหัวคอลัมน์) เลือกว่าจะให้รวมข้อมูล ตั้งค่าอื่น ๆ ตามค่า default ไปก่อนได้ กด “Add“ จากนั้นกด “Add to report“ ตอนนี้รายงานของคุณ “ผูก” กับ Google Sheet แล้ว จากนี้ไป ถ้ามีคนอัปเดตข้อมูลใน Sheet (เช่น เพิ่มแถวยอดขายใหม่) รายงานใน Looker Studio สามารถกด Refresh เพื่อดึงข้อมูลล่าสุดได้ ส่วนที่ 3 – สร้างองค์ประกอบพื้นฐาน: ตัวเลขสรุป + ตาราง + กราฟ สร้างตัวเลขสรุปยอดขายรวม (Scorecard) ในหน้ารายงาน Looker Studio ให้ดูที่แถบเมนูด้านบน คลิกที่ “Insert → เลือก Scorecard“ คลิกแล้วลากไปวางบนพื้นที่รายงานด้านบน ด้านขวามือ (แท็บ Data) จะเห็น Data source = Google Sheet ที่เราเลือก Metric = ค่าเริ่มต้นอาจเป็น Record Count ให้คลิกเปลี่ยนเป็น “ยอดขาย“ สร้างกราฟแท่ง “ยอดขายตามวัน” ในหน้ารายงาน Looker Studio ให้ดูที่แถบเมนูด้านบน คลิกที่ “Insert → เลือก Vertival bar chart“ ลากกราฟไปวางใต้ Scorecard ด้านขวา ในแท็บ Data: Dimension = เลือก “วันที่“ Metric = เลือก “<strong>ยอดขาย</strong>“ สร้างตาราง “ยอดขายตามสินค้า” ในหน้ารายงาน Looker Studio ให้ดูที่แถบเมนูด้านบน คลิกที่ “Insert → เลือก Table“ ลากไปวางด้านล่างหรือข้าง ๆ กราฟ ด้านขวา ตั้งค่า: Dimension (สีฟ้า) → เลือกว่าจะดูตามอะไร เช่น สินค้า Metric (สีเขียว) → เลือก ยอดขาย จะเพิ่ม Metric อื่น ๆ เช่น Record Count (จำนวนรายการขาย) ก็ได้ ส่วนที่ 4 – จัดหน้า (Layout) และตกแต่งให้ดูเป็น “แดชบอร์ดจริง ๆ” จัด Layout ให้เป็นโซน แนะนำโครงง่าย ๆ: แถวบนสุด → แสดง KPI สำคัญ (Scorecard เช่น ยอดขายรวม, จำนวนรายการขาย, จำนวนลูกค้า ฯลฯ) ส่วนกลาง → กราฟแนวโน้ม (ยอดขายตามวัน/เดือน) ส่วนล่าง → ตารางดูรายละเอียด (ยอดขายตามสินค้า, ภูมิภาค, ช่องทาง) มุมบนขวา → Date range และ Filter ต่าง ๆ พยายามเว้นช่องว่างให้พอดี ไม่อัดทุกอย่างจนแน่น ตั้ง Theme & สีให้เหมาะ คลิกขวา เลือก “Theme and layout“ เลือก Theme ที่ใกล้เคียงกับสีแบรนด์บริษัท/ลูกค้า สามารถปรับสีพื้นหลัง, สีกราฟ, สีหัวตาราง ฯลฯ ได้ และ เลือก Font ได้ ที่ “Layout “ จุดดีของการใช้ Looker Studio กับ Google Sheet คือ คุณ/ทีม แค่เข้าไปเพิ่มข้อมูลลงชีตรายงานจะใช้ข้อมูลชุดเดียวกันโดยไม่ต้องสร้างใหม่ สิ่งที่ต้องรู้: อัปเดตใน Sheet เพิ่มแถวข้อมูลใหม่ด้านล่าง หัวคอลัมน์ยังเหมือนเดิม Refresh ใน Looker Studio ในมุมมอง Edit จะมีเมนูเล็ก ๆ ให้กด Refresh data หรือในโหมดดู (View) ข้อมูลมักจะอัปเดตอัตโนมัติในช่วงเวลาหนึ่ง ถ้าเพิ่มคอลัมน์ใหม่ใน Sheet (เช่น เพิ่ม Cost, จำนวนชิ้นขาย) กลับมาที่ Looker Studio → ใน Data Source ต้องกด Reconnect/Fields เพื่อให้เห็นคอลัมน์ใหม่ แล้วค่อยนำไปใช้ในกราฟ/ตาราง การใช้งาน Google Looker Studio อย่างง่ายจาก Google Sheet จริง ๆ ไม่ได้ยากเลย ถ้าแบ่งคิดเป็นขั้น ๆ: เตรียม Google Sheet ให้เป็นตารางเรียบร้อย แถวแรกเป็นหัวคอลัมน์ ประเภทข้อมูลถูกต้อง สร้างรายงานใหม่ใน Looker Studio แล้วเชื่อม Data Source เป็น Google Sheet ที่เตรียมไว้ วางองค์ประกอบพื้นฐาน Scorecard แสดงยอดรวม กราฟเส้นแสดงแนวโน้มยอดขาย ตารางแสดงยอดขายตามสินค้า/ภูมิภาค ตัวกรองวันที่ + ตัวกรองเลือกสินค้า/ภูมิภาค ตกแต่ง Layout + Theme และแชร์ให้ทีม/ลูกค้าดูด้วยสิทธิ์ที่เหมาะสม ต่อไปเวลาอยากอัปเดตข้อมูล แค่แก้ใน Sheet รายงานก็ใช้ข้อมูลเซ็ตเดิมโดยไม่ต้องทำใหม่ทุกครั้ง เริ่มจาก Dashboard ง่าย ๆ หน้าเดียวก่อน เมื่อคุ้นมือแล้ว ค่อยต่อยอดเป็นหลายหน้า (Sales, Marketing, Finance) คุณจะพบว่า การใช้ Looker Studio + Google Sheet ช่วยลดเวลาทำรายงานลงได้มาก และทำให้การคุยเรื่อง “ข้อมูล” ในทีมชัดและเห็นภาพขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก การทำงานกับ Google Sheet และ Looker Studio จะสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น เมื่อใช้งานภายใต้ Google Workspace สำหรับองค์กร: อีเมลองค์กร @ชื่อโดเมนของบริษัท Google Drive / Shared Drive สำหรับเก็บไฟล์และชีต Google Sheets, Docs, Slides สำหรับทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ ใช้งานร่วมกับ Looker Studio เพื่อทำรายงานจากข้อมูลในองค์กรได้อย่างเป็นระบบ hostatom ให้บริการ Google Workspace สำหรับธุรกิจ พร้อมทีมงานคนไทยช่วยดูแลทั้งเรื่องการตั้งค่า การย้ายข้อมูล และแนะนำแนวทางการใช้ Google Sheets + Looker Studio ให้เหมาะกับการทำงานขององค์กรคุณ หากองค์กรของคุณต้องการเริ่มใช้ Google Workspace หรืออยากปรึกษาเรื่องการจัดโครงสร้างการเก็บข้อมูลและทำ Dashboard 👉 ดูรายละเอียดบริการได้ที่Google Workspace โดย hostatom – https://www.hostatom.com/google-workspace/

Read More »

Copilot Prompts ใน Word สร้างเอกสาร

8 December 2025

ยุคนี้เราไม่จำเป็นต้อง “เก่ง Word” หรือ “โปร Excel” ถึงจะเขียนเอกสารสวย ๆ หรือวิเคราะห์ข้อมูลได้ดีอีกต่อไป เพราะ Microsoft Copilot เข้ามาเป็นผู้ช่วยที่ “ฟังภาษาคน” รู้เรื่อง แล้วแปลงเป็นเอกสารหรือการวิเคราะห์ให้เราอัตโนมัติ ใน Word เราสามารถสั่ง Copilot ว่า “ช่วยร่างสัญญาเบื้องต้นสำหรับลูกค้า SME ภาษาเป็นกันเองแต่สุภาพ” ส่วนใน Excel เราสามารถถามว่า “สรุปยอดขายแยกตามภูมิภาคให้หน่อย แล้วทำกราฟเปรียบเทียบให้ดูเข้าใจง่าย” Copilot จะช่วยย่อย แปลง และจัดรูปแบบให้ออกมาเป็นตาราง รายงาน หรือกราฟให้เลย โดยไม่ต้องเขียนสูตรยาว ๆ หรือสร้าง Pivot เองทุกครั้งอีกแล้ว คู่มือนี้จะสอน ทีละขั้น ตั้งแต่การเปิด Copilot ใน Word และ Excel, การเขียน Prompt แบบภาษาคน, จนถึงการตรวจและปรับผลลัพธ์ให้ตรงกับงานจริง เหมาะกับคนที่ “ไม่เคยใช้มาก่อน” แต่ต้องการเริ่มใช้ให้เป็นในองค์กร ส่วนที่ 1 – ก่อนเริ่มใช้ Copilot ใน Word และ Excel สิ่งที่ต้องมี ก่อนใช้ Copilot ต้องเช็ก 3 อย่างนี้ก่อน: มีสิทธิ์ใช้งาน Copilot ต้องเป็น Microsoft 365 แพลนที่มี Copilot หรือ Copilot for Microsoft 365 / Copilot Pro ส่วนใหญ่จะเป็นแพ็กเกจสาย Business / Enterprise ที่เปิดใช้ Copilot เพิ่มเติม ใช้ Word / Excel เวอร์ชันที่รองรับ Copilot แนะนำใช้ Microsoft 365 Apps เวอร์ชันล่าสุด (เดสก์ท็อป) หรือ Word/Excel for the web ควรอัปเดตโปรแกรมให้เป็นเวอร์ชันใหม่เสมอ เปิดการใช้งาน Connected Experiences / AI Features บางเคสต้องเปิดการใช้บริการที่ “วิเคราะห์เนื้อหา” เพื่อให้ Copilot อ่านเอกสารแล้วช่วยเราได้เต็มที่ ถ้าใช้องค์กรใหญ่ แนะนำให้เช็กกับ IT / Admin ว่าบัญชีของเรามีสิทธิ์ใช้ Copilot in Word/Excel แล้วหรือยัง ส่วนที่ 2 – ใช้ Copilot Prompts ใน Word: ให้ AI ร่าง แก้ และสรุปเอกสาร Copilot ใน Word อยู่ตรงไหน? ใน Word รุ่นใหม่ที่มี Copilot: เมื่อเปิดเอกสารใหม่/ว่าง ๆ จะเห็นกล่อง Draft with Copilot หรือ (โลโก้เล็ก ๆ บนหน้าเอกสาร หรือใน Ribbon แท็บ Home) หรือในแถบด้านบน (Ribbon) จะมีปุ่ม Copilot / Draft with Copilot ถ้าเห็นไอคอนนี้ แปลว่าพร้อมใช้งานแล้ว สั่งให้ Copilot “ร่างเอกสารใหม่” จากภาษาธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น “อยากให้ Copilot ร่างเอกสารจาก 0 เช่น ใบเสนอราคา, รายงานประชุม, แผนโครงการ“ ขั้นตอนการทำ มีดังนี้: Login เข้าบัญชี Microsoft 365 ของคุณ โดยพิมพ URL: office.com คลิก “Apps” → “Word” คลิกที่ “Create blank document“ คลิกที่ปุ่ม “Copilot” จะมีช่องให้พิมพ์คำสั่ง (Prompt) ตัวอย่าง Prompt: “ช่วยร่างรายงานการประชุมสำหรับทีมการตลาด สรุปเป้าหมายประจำไตรมาส โทนทางการ แต่อ่านง่าย แบ่งหัวข้อเป็น 1. วัตถุประสงค์ 2. แผนงาน 3. ตัวชี้วัดสำคัญ” “สร้างร่างสัญญาว่าจ้างฟรีแลนซ์ด้านออกแบบกราฟิก ภาษาไทย ทางการ มีหัวข้อ ขอบเขตงาน ระยะเวลา การชำระเงิน และทรัพย์สินทางปัญญา” จากนั้นคลิกที่ลูกศร → ตามภาพ Copilot จะร่างเอกสารให้ ดังภาพหากต้องการเป็นไฟล์ Word ให้คลิกที่ “จัดทำเป็นไฟล์ Word“ จากนั้นคลิกที่ … (More options) เลือก “Open in Word” ระบบจะสร้างไฟล์ Word ให้ ดังภาพ ใช้ Copilot กับ “เอกสารที่มีอยู่แล้ว” หากเรามีเอกสารอยู่แล้ว แต่อยากให้ Copilot ช่วย “ย่อ / ขยาย / เปลี่ยนโทน / ทำให้เป็น bullet / สรุปเป็นหัวข้อ” เราสามารถใช้ Copilot ช่วยได้ ยกตัวอย่างเช่น ให้ Copilot สรุปทั้งเอกสาร เปิดเอกสารที่มีอยู่ คลิกไอคอน Copilot ใช้ Prompt เช่น “ช่วยสรุปเนื้อหาเอกสารนี้เป็น bullet 5 ข้อ เน้นส่วนที่เกี่ยวกับราคากับการรับประกัน” ปรับปรุงย่อหน้าให้กระชับ/มืออาชีพขึ้น ไฮไลต์ย่อหน้าที่ต้องการ คลิก Copilot → เลือกคำสั่งเช่น “Rewrite” หรือพิมพ์เองว่า “ทำให้ข้อความนี้กระชับขึ้น แต่ยังคงใจความเดิม”“เปลี่ยนโทนให้เป็นทางการมากขึ้น เหมาะกับส่งลูกค้าธุรกิจ” ให้ Copilot ช่วยจัดโครง / หัวข้อจากเนื้อหายาว ๆ ไฮไลต์หลายย่อหน้า ขอให้ Copilot “จัดหัวข้อย่อยและลำดับเนื้อหาให้ใหม่ ให้เหมือน outline ของคู่มือใช้งาน” เทคนิคเขียน Prompt สำหรับ Word ให้คิด Prompt ตามโครงนี้ (จำง่ายแบบ 4 ส่วน): [บทบาท/ชนิดเอกสาร] + [เนื้อหา/เรื่อง] + [โทนภาษา] + [รูปแบบผลลัพธ์] ตัวอย่าง: “ช่วยร่างจดหมายเชิงธุรกิจถึงลูกค้าเก่าที่ไม่ได้ติดต่อกัน 1 ปี โทนสุภาพแต่เป็นกันเอง สั้นไม่เกิน 1 หน้า A4” “ช่วยแปลงเนื้อหานี้ให้เป็นคู่มือใช้งานแบบทีละขั้นตอน พร้อมหัวข้อย่อยและ bullet point” “สรุปรายงานฉบับนี้ให้ผู้บริหารอ่านภายใน 5 นาที โทนมืออาชีพ แยกเป็นหัวข้อ 1. ภาพรวม 2. ความเสี่ยง 3. ข้อเสนอแนะ” ยิ่งบอกชัดว่า ต้องการอะไร / ให้ใครอ่าน / โทนแบบไหน / ยาวประมาณไหน Copilot ก็ยิ่งตอบได้ใกล้ใจมากขึ้น เพื่อใช้ Copilot ใน Word ได้เต็มประสิทธิภาพ จำเป็นต้องอยู่บนแพลตฟอร์ม Microsoft 365 ที่รองรับ Copilot และอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ hostatom ให้บริการ: Microsoft 365 สำหรับธุรกิจ รวม Outlook, Word, Excel, PowerPoint, Teams และบริการคลาวด์ครบชุด รองรับการใช้งาน Microsoft 365 Copilot (ตามแพ็กเกจและสิทธิ์การใช้งานของ Microsoft) ทีมงานคนไทยช่วยดูแลเรื่องการตั้งค่า, สิทธิ์การใช้งาน, ความปลอดภัย และการใช้งานร่วมกับ Copilot หากองค์กรของท่านเซียนอยากเริ่มใช้ Copilot ให้คุ้มกับค่า License มากที่สุด ทั้งใน Word, Excel และแอปอื่น ๆ 👉 ดูรายละเอียดและแพ็กเกจ Microsoft 365 โดย hostatom ได้ที่https://www.hostatom.com/microsoft-365/

Read More »

ข้อควรรู้ก่อน Restore ข้อมูล – ต้องตรวจสอบอะไรบ้างก่อนลงมือ?

8 December 2025

การ Restore ข้อมูลเป็นขั้นตอนสำคัญในการกู้คืนเว็บไซต์หรือระบบให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง แต่หากดำเนินการโดยไม่ตรวจสอบความพร้อม อาจเกิดความเสี่ยง เช่น ข้อมูลหายเพิ่ม เว็บเปิดไม่ได้ หรือระบบทำงานผิดปกติ บทความจึงได้นี้รวบรวม “สิ่งที่ต้องตรวจสอบก่อนเริ่ม Restore” เพื่อช่วยลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาส Restore สำเร็จ 100% เหมาะทั้งสำหรับทั้งผู้ใช้งานทั่วไป เจ้าของเว็บไซต์ และผู้ดูแลระบบ ทำไมการตรวจสอบก่อน Restore ถึงสำคัญ? การ Restore คือการนำไฟล์และฐานข้อมูลจาก Backup มาเขียนทับข้อมูลเดิมบนระบบ หากไฟล์ไม่สมบูรณ์หรือเซิร์ฟเวอร์ไม่รองรับเวอร์ชันเดิม อาจทำให้เว็บไซต์เกิดปัญหา เช่น ไม่สามารถเปิดเว็บได้ตามปกติ ขึ้น Error 403, 404, 500 Database เชื่อมต่อไม่ได้ ข้อมูลใหม่ ๆ หายไปหลัง Restore Plugins / Extensions ไม่รองรับเวอร์ชันของเซิร์ฟเวอร์ ดังนั้นทุกครั้งก่อน Restore ควรตรวจสอบตามรายการด้านล่างเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น สิ่งที่ต้องตรวจสอบก่อน Restore ข้อมูล 1. ตรวจสอบความสมบูรณ์ของไฟล์ Backup (Verify Backup) ก่อนที่จะ Restore เราต้องมั่นใจว่าไฟล์ Backup เหล่านั้นยังไม่เสีย และสามารถนำมาใช้ได้จริง เพราะหาก Restore ด้วยไฟล์ที่เสียหาย อาจทำให้เกิดปัญหาหนักกว่าเดิม เช่น เว็บพังทั้งระบบ หรือฐานข้อมูลไม่สมบูรณ์ สิ่งที่ควรตรวจสอบ แตกไฟล์ .zip / .tar.gz ได้ครบ และไม่มี error ไฟล์ .sql เปิดดูได้และไม่มีตัวอักษรผิดปกติ โฟลเดอร์โครงสร้างครบ เช่น public_html, domains, email ผ่านการ Test Restore ในพื้นที่ทดสอบแล้ว 2. เช็กวันที่และเวอร์ชันของไฟล์ Backup วันที่ Backup เป็นตัวกำหนดว่าหลัง Restore แล้วข้อมูลอะไรจะหายไปบ้าง เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังวัน Backup จะไม่ถูกเก็บไว้ ควรเช็กว่า… ไฟล์ Backup ถูกสร้างวันไหน? ช่วงนั้นเว็บมีปัญหาหรือไม่? ตอนนั้นมีการอัปเดตปลั๊กอิน ธีม หรือ CMS อยู่หรือเปล่า? Backup เป็น full backup หรือ partial backup? 3. ตรวจสอบ PHP Version และ Environment แม้ไฟล์ Backup จะดี แต่ถ้า Restore ไปยังสภาพแวดล้อมใหม่ที่เวอร์ชันต่างจากเดิม อาจทำให้ไม่สามารถเปิดเว็บนั้นได้ สิ่งที่ควรตรวจ PHP version รองรับ CMS หรือปลั๊กอินเดิมหรือไม่? MySQL/MariaDB version ต้องไม่เก่าหรือใหม่เกินไป Extensions ที่เว็บต้องใช้ เช่น mbstring, curl, gd, intl Apache/Nginx rules เช่น .htaccess จาก Backup เก่ามี syntax ที่เวอร์ชันใหม่ไม่รองรับ 4. เช็กพื้นที่ว่าง (Disk Space) การ Restore จำเป็นต้องใช้พื้นที่มากกว่าขนาดไฟล์ Backup เนื่องจากต้องแตกไฟล์ + สร้างฐานข้อมูล + สร้างโฟลเดอร์ใหม่ หากเป็นไปได้ ควรมีพื้นที่อย่างน้อย 2–3 เท่า ของขนาดไฟล์ Backup เพราะหากพื้นที่ไม่พอ อาจทำให้เกิดปัญหาอย่าง… Restore ค้าง ไฟล์บางส่วนไม่ถูกเขียน เว็บล่มเพราะเขียนข้อมูลไม่ครบ ระบบทำงานผิดพลาด (log เขียนไม่ได้) 5. สำรองข้อมูลปัจจุบันก่อน Restore การ Restore ข้อมูลทั้งเว็บโดยที่ไม่มี Backup ปัจจุบันนับว่ามีความเสี่ยงสูงมาก โดยการสำรองข้อมูลก่อน Restore สักครั้ง เหมือนเป็นการเพิ่มหลักประกันให้เว็บของเราที่หาก Restore แล้วเกิดปัญหา จะได้ย้อนกลับมาจุดที่ปลอดภัยได้ ข้อมูลที่ควร Backup ไฟล์ทั้งหมด Database ทั้งหมด Email ของโดเมน (หากจำเป็น) 6. ตรวจสอบโครงสร้างโฟลเดอร์ว่าเหมือนระบบเดิม บางครั้งการ Backup มาจากระบบคนละเซิร์ฟเวอร์ หรือคนละ Control Panel อาจทำให้มีโครงสร้างบางอย่างไม่เหมือนกัน เช่น public_html อยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมือนกัน ไฟล์ config อยู่ในโฟลเดอร์อื่น Database ถูกเก็บไว้หลายไฟล์ในหลาย path ชื่อ domain หรือ user แตกต่างกันในแต่ละ Control Panel หาก Restore ลงผิดโครงสร้าง → เว็บจะโหลดผิด path ทันที 7. ตรวจสอบสิทธิ์ไฟล์ (File Permission) สิทธิ์ไฟล์ที่จะมีผลต่อการเข้าถึงไฟล์ของ Web Server ว่าสามารถอ่าน/เขียน/รันได้หรือไม่ ค่าพื้นฐานที่แนะนำ โฟลเดอร์ – 755 ไฟล์ – 644 ไฟล์สำคัญ เช่น wp-config.php – อาจตั้งเป็น 400–440 หากกำหนด permission ผิด เว็บขึ้น Forbidden 403 เว็บโหลดไม่ขึ้น เว็บแก้ไขไฟล์ไม่ได้ Hacker ใช้ช่องโหว่เข้าระบบได้ง่ายขึ้นหากตั้งเป็น 777 8. ปิดระบบอัตโนมัติและตั้งสภาพแวดล้อมให้อยู่ในโหมดปลอดภัย เพื่อลดการเกิด Error ขณะ Restore ควรปิดฟีเจอร์ที่เปลี่ยนแปลงข้อมูลแบบอัตโนมัติ เช่น Cronjobs ที่เขียน Database ปลั๊กอิน Cache เช่น LiteSpeed Cache, WP Super Cache ระบบ CDNs ที่ใช้ไฟล์แคช Maintenance Mode หรือ Script ที่ประมวลผลอัตโนมัติ 9. เตรียมข้อมูลการเชื่อมต่อฐานข้อมูลให้พร้อม หลัง Restore ข้อมูล อาจต้องมีการเข้าไปแก้ไฟล์ config เพื่อชี้ไปยังฐานข้อมูลใหม่ เช่น DB Name DB User Password Host (localhost หรือ IP) Prefix ของตาราง เช่น wp_, joomla_ หาก Restore ข้ามระบบอาจทำให้ Path ไม่ตรงกัน User/Domain mismatch Database structure ไม่รองรับ Web Server rules ไม่ตรงกัน 10. ตรวจสอบว่าไฟล์ Backup มาจากระบบเดียวกัน สาเหตุอันดับต้น ๆ ที่ทำให้การ Restore ล้มเหลว เนื่องจากแต่ละระบบมีการใช้โครงสร้างที่ไม่เหมือนกัน โดยควรตรวจสอบว่าไฟล์ Backup ที่สร้างนั้นมาจากไหน เช่น DirectAdmin → ใช้ Restore ใน DirectAdmin เท่านั้น cPanel → ใช้ Restore ใน cPanel เท่านั้น WordPress Plugin A → Restore ด้วย Plugin A เท่านั้น โดยปัญหาที่มักเกิด คือ สคริปต์มองหา path ที่ไม่ตรงกัน Database ไม่รองรับโครงสร้างเดิม หรือ ไฟล์ config ใช้ path ของเครื่องเก่า การ Restore ไม่ใช่แค่การอัปโหลดไฟล์ทับเข้าไปเท่านั้น แต่ต้องตรวจสอบหลายอย่างเพื่อให้เว็บกลับมาทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ยิ่งเว็บไซต์เป็นร้านค้าออนไลน์หรือเว็บสำคัญ ยิ่งต้องตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อลดความเสี่ยงสูงสุด หากคุณกำลังมองหาเว็บโฮสติ้งที่ใช้งานง่ายและปลอดภัย สามารถดูรายละเอียดแพ็กเกจ Web Hosting ของเราได้ที่👉 https://www.hostatom.com/web-hosting

Read More »

What Our Users Say

tososay.com

ประทับใจในตลอดทุกการใช้งานที่มีมาตลอด กับ Hostatom ครับ

นอกจากใช้บริการพื้นที่และระบบแล้ว ทีมงานยังใส่ใจ เข้าใจ และรับฟัง การทำงานร่วมกันแม้ว่าจะเป็นระบบหน้าบ้าน ทีมงานก็ให้คำแนะนำที่จะใช้งานกับระบบหลังบ้านหรือโฮสต์ได้อย่างดี ขอบคุณที่ให้บริการมาตลอดครับ แนะนำสำหรับมือใหม่ และมืออาชีพ ไว้วางใจ hostatom ได้ครับ

nailekcook.com

ที่นี่บริการดีมากกกกค่ะ 10/10 ไม่หักคะแนนเลย

ช่วยเหลือ 24 ชม.จริงๆ ให้คำแนะนำ แก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้รวดเร็ว พี่ๆ เทคนิค และพี่ๆแอดมิน พูดจาดีมาก ลูกค้าไม่เข้าใจก็พยายามอธิบาย ไม่ผิดหวังเลยค่ะ

guiaespanolentailandia.com

ทีมงานซัพพอร์ตให้บริการดีมากครับ

ผมพึ่งศึกษาการทำเว็บมีปัญหาอะไรทีมซัพพอร์ตของ hostatom ช่วยได้ตลอดเลย ให้คำปรึกษาดี และตอบไวมากเลยครับ